หลังจากที่สิงคโปร์ใช้นโยบาย "อยู่ร่วมกับโควิด" อย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยเริ่มในเดือนสิงหาคม สิ่งที่ตามมาคืออัตราการติดเชื้อพุ่งขึ้นสูงมาก จนดูเหมือนจะสวนทางกับอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าตกลงแล้ววัคซีนมีส่วนช่วยหรือไม่และการเปิดประเทศหรืออยู่ร่วมกับโควิด-19 แบบสิงคโปร์เป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือไม่?
ถึงขนาดที่ช่วงกลางเดือนตุลาคม สำนักงานควบคุมและป้องกันโนรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) ยกระดับสิงคโปร์ไปที่ระดับ 4 ในรายการคำแนะนำการเดินทางสำหรับโควิด-19 หมายถึงความเสี่ยงในระดับ "สูงมาก" และ ณ วันที่ 18 ตุลาคม กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้เตือนว่า “อย่าเดินทางไปสิงคโปร์เพราะโควิด-19” (1)
แต่ปรากฎว่าสิงคโปร์ยังคลายมาตรการควบคุมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพร้อมๆ กับที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้่นทุกวันๆ ขณะที่ถูกทางการสหรัฐฯ เตือนประชาชนตัวเองไม่ให้เดินทางไปยังสิงคโปร์ แต่ทางการสิงคโปร์เปิดประเทศต้อนรับนักเดินทางจากสหรัฐให้เข้ามาโดยไม่ต้องกักตัวหากฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว ตามมาตรการ Vaccinated Travel Lane (VTL) ประกอบด้วย ออสเตรเลีย แคนาดา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา
สิงคโปร์ยังประกาศเปิดพรมแดนให้เข้าออกได้โดยไม่ต้องกักตัวกับมาเลเซียด้วยผ่านมาตรการ VTL โดยเริ่มวันที่ 29 พฤศจิกายน เรียกโดยในระยะแรกจะเปิดให้เฉพาะการเดินทางทางอากาศเท่านั้น ซึ่งแม้จะดูไม่ค่อยสะดวกสำหรับคนทั้งสองประเทศที่มักสัญจรข้ามกันไปมาโดยทางรถยนต์มากกว่า แต่นี่ถือเป็นการผ่อนคลายการควบคุมพรมแดนที่ก้าวหน้าที่สุดในอาเซียนประเทศหนึ่งรองจากไทย และเป็นการเปิดพรมแดนครั้งแรกนับตั้งแต่ปิดไปในเดือนมีนาคมปี 2563 (1)
มาตรการ VTL ถือเป็นการแสดงความเชื่อมั่นของสิงคโปร์ในตัวสิงคโปร์เองไม่ใช่เชื่อมั่นในมาเลเซียที่ยังคงปิดพรมแดนอย่างเหนียวแน่น และมาเลเซียเพิ่งจะเริ่มผ่อนคลายกฎเกณฑ์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในระดับจำกัด โดยผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนจะได้รับอนุญาตให้เดินทางไปยังเกาะลังกาวีในโครงการนำร่องการเดินทางแบบฟองสบู่ที่จะเริ่มในกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งล่าช้ากว่าโครงการแซนด์บ็อกซ์ของภูเก็ตที่คล้ายคลึงกัน และไทยได้เดินหน้าไปสู่การเปิดรับหลายสิบประเทศเข้ามาโดยไม่ต้องกักตัวแล้ว
การทำ VTL มีความสำคัญกับสิงคโปร์อย่างมากในการเดินเครื่องระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง เพราะสิงคโปร์กำนดสถานะตัวเองเป็นศูนย์กลางการเวนโลก การปิดประเทศต่อไปจะทำให้สิงคโปร์ขับเคลื่อนประเทศไม่ได้ ผลก็คืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในช่วงล็อคดาวน์ต่ำที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียนเพระาการพึ่งพาต่างประเทศในระดับที่สูง แต่การทำ VTL จะมอบความหวังให้กับสิงคโปร์ในทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการทำ VTL กับมาเลเซีย ซึ่งทั้งสองประเทศพึ่งพาแรงงานและทุนการผลิตระหว่างการค่อนข้างสูง
รัฐบาลสิงคโปร์เตรียมใจไว้แล้วว่ายอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้น แต่มันเป็นการทำให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นไปไม่ใช่โรคระบาดใหญ่ที่ทำให้ประเทศเป็นอัมพาตไปเรื่อยๆ ดังที่ จานิล พูทูเชอรี (Janil Puthucheary) รัฐมนตรีอาวุโสแห่งรัฐในรัฐสภา ระบุว่า สิงคโปร์อาจมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากถึง 2,000 รายต่อปี แต่อัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ของสิงคโปร์ 0.2% นั้นคล้ายคลึงกับอัตราการเสียชีวิตจากโรคปอดบวมก่อนเกิดโรคระบาด (3) นั่นหมายความวาสิงคโปร์กำลังทำให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นเหมือนปอดบวมนั่นเอง
คีย์เวิร์ดอยู่ที่พูทูเชอรีกล่าวว่าการเสียชีวิตเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในหมู่ผู้สูงอายุ แต่สิงคโปร์มุ่งเน้นไปที่การหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตที่มากเกินไป ดังที่เขาบอกว่า “แม้ว่าเราจะเสียชีวิตจากโควิด-19 แต่เราจะไม่พบว่ามีผู้เสียชีวิตโดยรวมมากกว่าในปีปกติที่ยังไม่เกิดโควิด-19 ” สอดคล้องกับความพยายามของสิงคโปร์ที่ประคองไม่ให้การเปิดประเทศทำให้เกิดการป่วยรุนแรงมากเกินไปจนระบบสาธารณสุขล่ม ซึ่งมีบางช่วงหลังการเปิดประเทศที่ห้องวิกฤตในโรงพยายบาลใกล้จะรองรับไม่ไหว แต่สิงคโปร์ยังประคับประคองเอาไว้ได้ นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังเดินไปตามโรดแมปที่วางไว้ เมื่อระบบสาธารณสุขยังไหว การเปิดประเทศก็จะยกระดับไปเรื่อยๆ
ดังนั้น ตราบใดที่อัตราการเสียชีวิตไม่เกินไปกว่าการเสียชีวิตเพราะโรคประจำถิ่นช่วงก่อนการมาถึงของโควิด-19 และตราบใดที่มันทำให้เศรษฐกิจสิงคโปร์มีความหวัง ตราบนั้น แนวทาง "อยู่ร่วมกับโควิด" ของสิงคโปร์ถือว่าได้ผล แน่นอนว่า มาตรวัดที่ชัดเจนกว่านั้นก็คือ ยิ่งสิงคโปร์คลายมาตรการกับโลกภายนอกมากเท่าไรยิ่งชัดว่าโรดแมปนี้กำลังมุ่งไปถูกทาง
อีกมาตรวัดหนึ่งคือการคาดการทิศทางเศรษฐกิจ ในช่วงต้นเดือน พฤศจิกายน นักเศรษฐศาสตร์จากสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคอาเซียน+3 (Amro) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของสิงคโปร์ฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2563 โดยได้รับการสนับสนุนจากมาตรการของรัฐบาลและอุปสงค์จากภายนอก และคาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีนี้และปีหน้า โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.5 ในปีนี้ และลดลงเหลือร้อยละ 4 ในปี พ.ศ. 2565 ระดับการเติบโตที่สูงขึ้นจะได้รับแรงหนุนจากการจ้างงานที่แข็งแกร่งและการใช้จ่ายภายในประเทศและอุปสงค์ภายนอก และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการบริการในระยะยาว
ประเด็นสำคัญที่ Amro ชี้ให้เห็นก็คือแม้ว่าจะมีการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นหลังจากเปิดประเทศแล้ว แต่สิ่งที่คุกคามเศรษฐกิจของสิงคโปร์คือการล็อคดาวน์ต่อไปจนกระทบต่อภาคส่วนที่มีการติดต่อกับผู้คน (เช่นภาคการบริการ) จะส่งผลต่อการแบกรับหนี้ทั้งระดับลูกหนี้และเจ้าหนี้รายใหญ่ เช่น ธนาคาร กลายเป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้น การคลายล็อคดาวน์จึงมีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้สถาบันการเงินเผชิญกับความเสี่ยด้านหนี้เสีย (4) ซึ่งต้องไม่ลืมว่าภาคการเงินและการบริการเป็นราฐานสำคัญของเศรษฐกิจสิงคโปร์ในเวลานี้และสิงคโปร์มีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางการเงินของโลก
นี่เป็นตัวเลขที่จับต้องได้ ในส่วนของบรรยากาศและความรู้สึกของภาคธุรกิจหลังมาตรการอยู่ร่วมกับโควิดดูจะมีความหวังมากขึ้น จากการที่รัฐบาลอนุญาตให้ประชาชนสามารถร่วมโต๊ะรับประทานอาหารได้ 5 คนทำให้บ้างร้านมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก และบางธุรกิจคาดว่าจะมียอดจองที่นั่งเพื่อรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 (5)
อย่างไรก็ตาม หลังจากการคลายมาตรการโดยเฉพาะการรับประทานอาหารในร้าน บางร้านอาหารยังใช้มาตรการที่รัดกุมของตันเอง เช่น ร้านในเครือบริษัท Food Concepts Group เมื่อได้รับการจองที่สำหรับ 3 - 5 คน พนักงานร้านอาหารจะโทรหาลูกค้าเพื่อยืนยันว่าพวกเขามาจากครอบครัวเดียวกันหรือไม่ และเตือนให้พวกเขานำบัตรประจำตัวมาด้วย ขั้นตอนนี้จะทำซ้ำในวันเดียวกันกับวันที่ลูกค้ามารับประทานอาหาร
โดยจะสอบถามลูกค้าว่าสมาชิกในครอบครัวถึงจะมาจากบ้านเดียวกัน แต่มีหนึ่งในนั้นที่เพิ่งเดินทางจากต่างประเทศโดยใช้ Vaccinated Travel Lane (VTL) หรือไม่ ถ้าหากมีบุคคลประเภทนั้น ทางร้านจะต้องขอให้ลูกค้าจากครอบครัวเดียวกันนั่งรับประทานอาหารโดยแยกโต๊ะกัน ขณะที่ลูกค้าเองก็เปลี่ยนอุปนิสัยโดยจะไม่นั่งรับประทานแบบนั่งแช่ในร้านนานๆ ทว่า ผู้ประกอบการก็ยังรู้สึกในแง่บวกมากขึ้นกับการคลายล็อคดาวน์ (6)
การฟื้นตัวของภาคธุรกิจ ทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทั้งหมดนี้มีเงื่อนไขผูกมัดหลักๆ คือการฉีดวัคซีน ตั้งแต่เดือนตุลาคม มีรายงานว่า ภาคธุรกิจของสิงคโปร์ต้องการพนักงานที่ฉีดวัคซีนแล้วเป็นจำนวนมากขึ้น จนถือเป็นกลุ่มเป้าหมายของการจ้างงานใหม่ โดยพบว่าอัตราส่วนของประกาศรับสมัครงาน Indeed ในสิงคโปร์ที่ระบุความต้องการเรื่องพนักงงานที่ฉีดวัคซีนแล้วและประกาศไว้ในแพลตฟอร์มรับสมัครงานจากตัวเลขวันที่เมื่อวันที่ 30 กันยายนสูงกว่าเมื่อสองเดือนก่อนถึง 19 เท่า ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่านี่คือเทรนด์ใหม่ในการรับสมัครงานในระดับโลกด้วย (7)
เฉพาะการจ้างงานอย่างเดียว (โดยไม่พิจารณาเรื่องวัคซีน) ณ วันที่ 30 กันยายน ตำแหน่งงานในสิงคโปร์ที่โพสต์ในแฟลตฟอร์มรับสมัครงาน Indeed เพิ่มขึ้น 68% จากระดับในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว หรือในช่วงที่การระบาดใหญ่กำลังเริ่มต้นขึ้น และแสดงถึงแนวโน้มที่ดีในความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจต่อแนวทางการอยู่ร่วมกับโควิดโดยการฉีดวัคซีนในอัตราส่วนประชากรที่สูง
“สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างแข็งขัน (ของประชาชน) ต่อการที่รัฐบาลผลักดันให้ระดับการฉีดวัคซีนสูงขึ้นในหมู่ประชาชนเพื่อที่จะกลับไปสู่ระดับโรคประจำถิ่น นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจทั่วไปในประเทซศด้วยการจ้างงานเพิ่มขึ้นแม้จะมีผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา” แคลแลม พิกเกอริง (Callam Pickering) นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Indeed กล่าว (7)
อ้างอิง
1. "CDC, State Department Warning: Avoid Travel To Singapore Due To Covid-19". (Oct 19, 2021). Forbes.
2. "Singapore, Malaysia to start VTLs for quarantine-free air travel from Nov 29". (Nov 9, 2021). The Strait Times.
3. "Singapore may see 2,000 Covid-19 deaths each year, minister says" (Nov 2, 2021). Reuters
4. "Economists expect Singapore to make strong recovery in 2021/22 despite pandemic resurgence risks". (Nov 9, 2021). The Business Times.
5. "Some restaurants expect better business with eased COVID-19 rules, prepare for checks on diners from same household". (Nov 10, 2021). CNA
6. "Some restaurants to call diners to confirm they are from same household as Covid-19 dining curbs ease". (Nov 9, 2021). The Strait Times.
7. "More Singapore businesses looking for Covid-19-vaccinated talent when recruiting". (Oct 19, 2021). The Drum.
ภาพ Ray in Manila/wikipedia.org
- 1843 views