หมอจุฬาฯ เตือนหากกลางปีนี้มีสายพันธุ์อินเดียและแพร่คนไทยสู่คนไทย ต้องระวังการตรวจจับอาจไม่แม่นยำ เหตุเชื้อลงปอดแยงจมูกไม่เจอ ต้องตรวจเลือด ยกเว้น คนที่ฉีดวัคซีนแอสตราฯตั้งแต่เข็มแรกไป 2 อาทิตย์  และ ซิโนแวคเข็มสองไป 7-10 วัน เพราะเลือดจะได้บวกเช่นกัน

 

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ระบุถึงการตรวจหาเชื้อสายพันธุ์อินเดีย ว่า 

ตั้งแต่กลางปีนี้ ถ้ามีสายพันธุ์อินเดียและแพร่คนไทยสู่คนไทย ต้องระวังการตรวจจับอาจไม่แม่นยำเพราะ

1- เชื้อชอบลงลึกในปอด แยงจมูกไม่เจอ

2- กระบวนการตรวจ พีซีอาร์ อาจจับได้ไม่หมด เพราะรหัสพันธุกรรมเพี้ยน ดังนั้น ถ้าแพร่ไป อาจมีปัญหากับวัคซีน การคัดกรองที่เร็วที่สุด คือการตรวจเลือดว่าติดเชื้อหรือไม่ เช่นตรวจด้วย อีไลซ่า รพ. มากมายมี และ ทำง่ายกว่า การแยงจมูก พีซีอาร์ ถ้าตรวจเลือดเป็นบวกโดยยังไม่ได้ฉีดวัคซีน แยกตัวทันทีจากคนอื่นและกักตัว 14 วัน ทั้งนี้โดยที่จะแยงจมูกต่อหรือไม่ก็ตามแต่ นั่นก็คือคัดกรองเร็วที่สุดแล้วแยกตัวเร็วที่สุด เป้าหมาย คือ ต้องหาคนติดเชื้อให้ได้เร็วที่สุดเพื่อแยกตัวออก

ต่อมา ศ.นพ.ธีระวัฒน์ โพสต์อีกว่า การตรวจเลือดหาแอนติบอดี  (antibody) คือ หาหลักฐานการติดเชื้อโควิดไม่ว่าสายพันธุ์ใดก็ตาม เมื่อพบหลักฐานไม่ว่าจะเป็น IgM หรือ IgG หรือทั้ง 2 อย่าง หรือแม้แต่ พบภูมิที่สามารถยับยั้งไวรัสได้ก็ตาม (neutralizing antibody) 

 

1- แยกตัวไว้ก่อน

2- หาต่อว่าปล่อยเชื้อได้หรือไม่

3- แลัวหาว่าเป็นสายพันธุ์อะไร เพื่อดูสัดส่วนของคนติดเชื้อว่าจะมีกลุ่มที่วัคซีนปัจจุบันอาจได้ผลไม่เต็มที่ ถ้าไม่ใช่สายพันธุ์ปกติ

 

การตรวจเลือด ยกเว้น คนที่ฉีดวัคซีน แอสตราเซเนกาตั้งแต่เข็มแรกไป 2 อาทิตย์ แล้ว และ ซิโนแวค เข็ม สองไป 7-10 วันไปแล้ว เพราะเลือดจะได้บวกเช่นกัน

 

ดังนั้น ไม่ว่าสายพันธุ์ไหน แม้ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วก็ต้องระวัง เข้มมาตรการต่อไป