คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตาม “อนุทิน” เสนอปลดล็อกปลูกกัญชา ด้านอย. เผยมี 3 กลุ่ม “ผู้ป่วย-หมอพื้นบ้าน-เกษตรกร” ขออนุญาตปลูกกัญชาทางการแพทย์ได้

ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่..) พ.ศ. .. ซึ่งสาระสำคัญคือ การปลดล็อกให้ผู้ป่วย หมอพื้นบ้านสามารถขออนุญาตปลูกกัญชารักษาโรค และ ส่งเสริมอุตสาหกรรมยาของประเทศให้เกษตรกรสามารถขออนุญาตปลูกกัญชาภายใต้ความร่วมมือกับผู้ผลิตยาหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรตามเงื่อนไขน ล่าสุดครม.เห็นชอบร่างดังกล่าวแล้ว

เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 4 ส.ค. นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวว่า สำหรับร่างกฎหมายดังกล่าวที่ผ่านความเห็นชอบ ครม.  ที่ผ่านมาได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษแล้ว ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ป.ป.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แพทยสภา สภาการแพทย์แผนไทย สภาเภสัชกรรม กรมการแพทย์ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นต้น

นพ.ไพศาล​ กล่าวต่อว่า​ โดยสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวจะมุ่งเน้นหลักการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยซึ่งมีสาระสำคัญ 3 ประการ ประกอบด้วย

1. เพิ่มการเข้าถึงการรักษาให้ผู้ป่วยที่ได้รับการรับรองจากผู้ประกอบวิชาชีพสามารถขออนุญาตปลูกและใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคของตนเองได้โดยจำนวนการปลูกนั้นจะขึ้นอยู่กับโรค ​เช่น ยาแก้ปวดเมื่อยโรคทางลม​ ที่ต้องใช้ใบสด​อย่างยาประคบแก้ปัตคาดราทยักษ์ก็จะปลูกได้จำนวน​ 6​ ต้น​ เป็นต้น

2. ต่อยอดภูมิปัญญาการแพทย์ในท้องถิ่นให้แพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้านสามารถขออนุญาตปลูกกัญชาเพื่อใช้ในการปรุงยาให้ผู้ป่วยของตนได้

3. ส่งเสริมอุตสาหกรรมยาของประเทศให้เกษตรกรสามารถขออนุญาตปลูกกัญชาภายใต้ความร่วมมือกับผู้ผลิตยาหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร อีกทั้ง ผู้ผลิตยาหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรสามารถผลิตยากัญชาและส่งออกได้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางยาของประเทศ ไม่ต้องนำเข้ายากัญชาจากต่างประเทศ และประหยัดงบประมาณในการนำเข้ายาโดยใช้ยากัญชาทดแทนหรือใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้ ซึ่งจะเป็นอีกก้าวสำคัญที่ประเทศไทยจะก้าวสู่ผู้นำในการใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างเป็นระบบ เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ ต่อยอดภูมิปัญญาไทย บรรลุตามนโยบายของรัฐบาล ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนไทยและประเทศชาติอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม

นพ.ไพศาล​ กล่าวต่อว่า​ นอกจากนี้ หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านเรียบร้อยแล้ว​ อนาคตยาเสพติดให้โทษประเภท​ 1-3​ จากเดิมการที่จะเผาทำลายได้​ ต้องรอให้สิ้นสุดคดีความก่อน​ แต่หากกฎหมายผ่านและมีการพิสูจน์ความผิดได้ก็ไม่ต้องรอให้สิ้นสุดคดีความ​ ก็จะสามารถกำจัดได้เลย​ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหายาเสพติดให้โทษที่ปัจจุบันมีล้นโกงดังเก็บมากโดยมียาเสพติดในโกงดังประมาณ 175 ตัน

อนึ่ง หลังจาก ครม. อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.  ฉบับนี้แล้ว จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณาแล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป