หมอโรงพยาบาลราชวิถีเจ๋ง ปรับใช้ยาต้านไวรัส HIV ร่วมกับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่รักษาผู้ป่วยโคโรนาที่อาการหนักจนผลตรวจไวรัสจากบวกกลายเป็นลบภายใน 48 ชม.

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ป่วยโรคปอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทยที่ยืนยันแล้วในขณะนี้มี 19 ราย กลับบ้านแล้ว 8 ราย นอนรักษาในโรงพยาบาล 1 ราย และเป็นที่น่ายินดีว่ามีผู้ป่วยที่หายดีอีก 1 ราย การรักษาพยาบาลพบว่าการควบคุมโรคให้ผลดี จำนวนผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นน้อย ยังไม่พบการติดต่อภายในประเทศและยังไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิต

นพ.สุขุม กล่าวอีกว่า การรักษาผู้ติดเชื้อเหล่านี้เป็นการรักษาตามมาตรฐาน ทุกรายมีอาการดีขึ้น แต่บางรายที่มีโรคประจำตัวหลายอย่างและมีอายุมาก ทำให้อาการป่วยค่อนข้างหนัก น้ำท่วมปอดและการอักเสบของปอดอย่างรุนแรง แต่ได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลราชวิถีซึ่งนำยาต้านไวรัส HIV มาศึกษาวิจัยและปรับใช้ พบว่าผู้ป่วยจากเดิมที่มีอาการหนัก มีค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ แต่หลังจากได้รับการรักษาแล้วอาการดีขึ้น ถือเป็นความสามารถของบุคลากรโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลราชวิถีที่สามารถทำให้ผู้ป่วยหายได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีไวรัสจากเมืองอู่ฮั่น แต่ในอนาคตอาจมีเทคนิคการรักษาจากราชวิถีโดยอาจใช้ชื่อว่า "ราชวิถีเทคนิค "ก็ได้

นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเป็นผู้รักษาผู้ป่วยอาการหนักรายนี้ กล่าวว่า อาการผู้ป่วยในช่วง 10 วันแรกก่อนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลราชวิถีมีอาการแย่ลงเรื่อย ๆ ค่าการอักเสบในเลือดสูงขึ้นทุกวันและมีแนวโน้มว่าต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่หลังจากให้ยาไปพบว่าก็มีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 48 ชม. ผลตรวจไวรัสจากบวกกลายเป็นลบซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี และค่าผลตรวจจากระบบทางเดินหายใจไม่พบเชื้อแล้ว

นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า เทคนิคการให้ยารักษาผู้ป่วยรายนี้เป็นรูปแบบที่ไม่เหมือนประเทศจีน โดยเป็นการให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ร่วมกับยาต้านไวรัส HIV เพราะได้ศึกษารายงานทางการแพทย์พบว่ามีรายงานการรักษาไวรัสโคโรนาในกลุ่มที่เป็นกลุ่ม MERS ที่เคยระบาดและได้ผล จึงนำยาต้านไวรัสทั้ง 2 ชนิดนี้มาปรับใช้ร่วมกันจนผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นชัดเจนภายใน 48 ชม. เชื้อจากที่เคยมีผลบวกก็กลายเป็นลบ ซึ่งตัวยาที่ใช้นี้ก็เป็นยาที่ผลิตในประเทศไทยโดยองค์การเภสัชกรรมนั่นเอง

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าสามารถทำสิ่งเหล่านี้ให้มีการรับรองให้เป็นมาตรฐาน เป็นหลักปฏิบัติได้ จะเป็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวง เพราะถ้าสูตรการรักษานี้ใช้รักษาคนจีนได้ บุคคลคนที่มีลักษณะเชื้อสายเดียวกัน เช่น คนไทยก็น่าจะรักษาได้เช่นกัน