สวรส.พัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายดูแลสุขภาพประชากรข้ามชาติ ทั้งการอภิบาลระบบ, ระบบบริการและกำลังคน, ระบบการเงินการคลังและประกันสุขภาพ เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นอย่างมีคุณภาพ
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานภาคี จัดประชุมวิชาการระดับชาติด้านสุขภาพของประชากรข้ามชาติ ประจำปี 2562 “สุขภาพคนข้ามชาติ ความจริงกับสิ่งที่รับรู้” เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 ณ มิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพ
จากสถานการณ์ปัญหาสุขภาพของประชากรข้ามชาติ ที่จำนวนและความหลากหลายของสภาพปัญหาเพิ่มมากขึ้น โดยประชากรข้ามชาติได้เข้ามาอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประชากรในประเทศไทย ซึ่งไม่สามารถปฏิเสธถึงผลกระทบทางสุขภาพและการพัฒนาระบบเพื่อรองรับปัญหาสุขภาพที่แยกขาดจากกันได้ ทั้งนี้ การศึกษาสถานการณ์ภาวะสุขภาพและโรคที่สำคัญของคนต่างด้าวในประเทศไทย (โดยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ และสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ) รายงานภาระโรคปี 2559 ระบุรายงานการตรวจคัดกรองสุขภาพจากศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ในปี 2557 และปี 2559 พบภาวะสุขภาพที่พบเป็นอันดับต้นๆ ในคนต่างด้าว ได้แก่ การตั้งครรภ์ และวัณโรค
นอกจากนี้ ข้อมูลจากระบบรายงานการเฝ้าระวังโรคติดต่อ ปี 2560 พบว่า โรคติดต่อในคนต่างด้าว 3 สัญชาติทั้งเมียนมาร์ ลาว กัมพูชา มีรายงานเข้ามามาก 3 อันดับแรก ได้แก่ ท้องร่วง ไข้หรือไข้ไม่ทราบสาเหตุ และโรคปอดบวม/ปอดอักเสบ
และจากรายงานสถานการณ์และความเปราะบางด้านสุขภาวะเด็กข้ามชาติในประเทศไทย (โดยศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นแห่งเอเชีย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ประเมินว่าเด็กข้ามชาติในประเทศไทยมีประมาณ 2.5 แสนคน โดยมีประกันสุขภาพสาธารณสุขเพียง 4.7 หมื่นคน แม้ประเทศไทยได้ให้การคุ้มครองเด็กข้ามชาติ ทั้งการจดทะเบียนและให้ใบรับรองการเกิด การให้วัคซีนป้องกันโรค แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่พบว่ามีเด็กข้ามชาติจำนวนไม่น้อยไม่มีเอกสารประจำตัว ส่วนหนึ่งมีภาวะทุพโภชนาการ และจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยู่ในระบบประกันสุขภาพ จึงเป็นความเสี่ยงสำหรับเด็กข้ามชาติที่อาจเจ็บป่วยจากโรคที่สามารถป้องกันได้ รวมทั้งระบบไม่ครอบคลุมเด็กที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนผู้ติดตามแรงงาน หรืออยู่นอกระบบ เป็นต้น
นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะมีมาตรการความร่วมมือระหว่างและภายในประเทศ โดยหน่วยงานหลายภาคส่วน แต่ความท้าทายของการพัฒนาการเข้าถึงบริการสุขภาพโดยขจัดอุปสรรคในการเข้ารับบริการทางสุขภาพที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ จึงเป็นประเด็นท้าทายใหม่ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการระบาดของโรคติดต่อที่เคยป้องกันได้และกลับมาอุบัติใหม่ ตลอดจนโรคติดต่อสำคัญ ระบบการจัดการและเชื่อมต่อบริการระหว่างประเทศ ระบบสารสนเทศสุขภาพแรงงานต่างด้าว เด็กข้ามชาติที่มีหลากหลายกลุ่มหลายสถานะ ขณะที่กลไกอภิบาลระบบและนโยบายเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานยังขาดเจ้าภาพหลัก กลุ่มประชากรชาวเขา/ชายแดนหรือราษฏรบนพื้นที่สูงไม่มีสัญชาติไทย เป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงสิทธิต่างๆ รวมทั้งยังต้องพัฒนาวิธีการสากลเพื่อให้บริการด้านสุขภาพในกลุ่มประชากรข้ามชาติมีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนสำหรับประเทศไทย
ด้าน นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “สำหรับนโยบายกระทรวงสาธารณสุข มีเป้าหมายระยะ 20 ปี กำหนดว่าประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งบุคคลที่มีปัญหาสถานะสิทธิและคนต่างด้าว จะต้องได้รับความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นอย่างมีคุณภาพ และภายในระยะเวลา 5 ปี (2561- 2565) ต้องมีระบบการคุ้มครองด้านสุขภาพสำหรับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ รวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทย ตลอดจนมีร่างกฎหมายสำหรับระบบการคุ้มครองด้านสุขภาพฯ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านสุขภาพในประเทศไทย ป้องกันและลดความเสี่ยงทางสุขภาพจากการระบาดของโรคติดต่อในประเทศไทย รวมทั้งลดปัญหาการเงินการคลังสุขภาพทั้งของผู้ป่วยข้ามชาติและของสถานพยาบาลที่ให้บริการในอนาคต”
ทั้งนี้ นพ.สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมการจัดประชุมวิชาการระดับชาติด้านสุขภาพของประชากรข้ามชาติ ประจำปี 2562 สรุปสาระสำคัญจากการประชุมฯ ว่า “เป็นการระดมข้อมูลสถานการณ์สำคัญที่ได้จากการค้นพบจากงานวิจัยและการปฏิบัติการของคนทำงานกับกลุ่มประชากรข้ามชาติซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ทั้งคนทำงานที่เป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน สถาบันการศึกษาทั้งในระดับประเทศและสากล เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาและพัฒนาสุขภาพ ซึ่งมีประเด็นข้อเสนอเชิงนโยบายและการวิจัย ดังนี้
1.การอภิบาลระบบ ควรจัดให้มีกลไกการอภิบาลระบบและนโยบายประชากรข้ามชาติ, เน้นเงื่อนไขการตรวจสุขภาพของแรงงาน โดยเฉพาะโรคติดต่อที่จำเป็นจากประเทศต้นทางก่อนเข้ามาทำงานในประเทศไทย, พัฒนาระบบการส่งต่อ การติดตามประเมินผลการรักษาของผู้ป่วยแรงงานข้ามชาติระหว่างประเทศ, กระทรวงสาธารณสุข ควรปรับปรุงระเบียบการจ้างงานพนักงานสาธารณสุขต่างชาติ (พสต.) และพัฒนาศักยภาพของผู้ให้บริการสุขภาพและ พสต./อสต. ในระดับพื้นที่
2.ระบบบริการ/กำลังคน ควรปรับระบบบริการการดูแลสุขภาพอย่างมีมนุษยธรรม “Humanized Health Care” ให้สอดรับกับความหลากหลายของประชากรข้ามชาติ, การคัดเลือกคนบนพื้นที่สูงมาเรียนและให้กลับไปทำงานในพื้นที่, การศึกษาวิจัยพัฒนานวัตกรรมบริการสุขภาพและวิจัยดำเนินงาน
3.ระบบการเงินการคลัง/ประกันสุขภาพ ควรมีหลักประกันสุขภาพสำหรับบริการสุขภาพพื้นฐานที่สำคัญโดยเฉพาะโรคติดต่อ เช่น วัคซีนพื้นฐาน (EPI) วัณโรค เป็นต้น, พัฒนาระบบการจัดประกันสุขภาพประชากรข้ามขาติที่บูรณาการและมีประสิทธิภาพ, วิจัยติดตามประเมินภาวะสุขภาพและการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชากรข้ามชาติ
ทั้งหมดนี้ เป็นแนวทางที่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จะนำไปพัฒนาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาหรือแก้ปัญหาสุขภาพของประชากรข้ามชาติที่มีความหลากหลายและสลับซับซ้อน โดยใช้องค์ความรู้จากการวิจัยในการกำหนดทิศทางและบูรณาการการทำงานที่สอดคล้องกับบริบทสถานการณ์ รวมทั้งใช้ข้อมูลในการตัดสินใจและขับเคลื่อนการทำงานในแต่ละระดับ ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะต่อสู้กับความท้าทายของปัญหาสุขภาพประชากรข้ามชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
- 118 views