มีรายงานพบว่าคนไทยเป็นโรคไตเรื้อรังกันมากขึ้น ข้อมูลจากการศึกษาจากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย พบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง ประมาณร้อยละ 17.6 ของประชากร หรือประมาณ 8-10 ล้านราย มีผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบำบัดทดแทนไตประมาณ 1,439 รายต่อล้านประชากร และมีแนวโน้มมากขึ้นเป็นทุกปี ๆ โรคไตจึงไม่ใช่โรคที่ไกลตัวอีกต่อไป

โรคไตเรื้อรังเกิดได้จากหลายสาเหตุที่สำคัญ ได้แก่ โรคเบาหวานโรคภาวะความดันโลหิตสูง โรคเอสแอลอี (SLE) หรืออาจเกิดจากผลข้างเคียงที่จากการใช้ยาบางชนิดเป็นประจำ โดยเฉพาะกลุ่มยาแก้ปวด หรือ“ยาเอ็นเสด” รวมทั้งโรคไตที่เกิดจากพันธุกรรม

“สัญญาณอันตราย” ของโรคไต ได้แก่ อาการบวม บวมรอบดวงตา ขากดบุ๋มสองข้าง ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะแดงเป็นเลือด หรือมีฟองปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปวดบั้นเอว

ในขณะที่ผู้ป่วยโรคไตส่วนมากมักไม่ปรากฏอาการใด ๆ การจะทราบว่าท่านเป็นโรคไตหรือไม่ ต้องอาศัยการคัดกรองโรคไต ซึ่งทำได้ไม่ยากด้วยการตรวจวัดความดันโลหิตการตรวจเลือดหาค่าซีรั่มครีเอตินิน หรือค่าอัตราการกรองของไต (eGFR) เพื่อหาระดับการทำงานของไต ร่วมกับตรวจปัสสาวะประชาชนทั่วไปควรได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อคัดกรองโรคไตและหาความเสี่ยงอื่นๆ ในการเกิดโรคผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงควรตรวจติดตามการทำงานของไตถี่มากขึ้น

อย่างไรก็ตามหากท่านเริ่มมีการของทำงานไตลดลง โรคไตเรื้อรังจะไม่หายขาดแต่สามารถชะลอความเสื่อมของไตได้เพื่อลดการเข้าสู่ระยะที่ต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต ท่านอาจสอบถามแพทย์ผู้ดูแลว่าไตท่านมีความเสื่อมอยู่ในระดับใด ระยะของไตเรื้อรังแบ่งตามอัตราการกรองของไต มีทั้งหมด 5 ระยะ ท่านควรได้รับคำแนะนำการรักษาจากอายุรแพทย์โรคไต เมื่อการทำงานไตของท่านอยู่ในระดับ 4 หรือ 5 เนื่องจากไตเรื้อรังระดับ 5 เป็นระยะที่ท่านต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการบำบัดทดแทนไต

ในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนมีนาคมในแต่ละปี กำหนดให้เป็นวันไตโลก ในปีนี้มีการรณรงค์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวในการดูแลรักษาสุขภาพไตมีสุขภาวะที่ดี ลดจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ลดการได้รับการบำบัดทดแทนไม่ว่าจะเป็นการล้างไตช่องท้อง การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สปสช.) ที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงการบริบาลได้ทุกราย มีสิทธิประโยชน์ครอบคลุมการรักษา แต่หากมีจำนวนผู้ป่วยมากเกินไป จะเป็นภาระงบประมาณทางสาธารณสุขในอนาคตได้และส่งผลต่อการเข้าถึงการรักษาได้ ดังนั้นการคัดกรองหาความเสี่ยง รวมถึงการชะลอความเสื่อมของไตจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด

การป้องกันการเกิดโรคไตทำได้โดย การดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำออกกำลังกาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การเลือกรับประทานอาหาร โดยเฉพาะลดการบริโภคเค็ม งดดื่มเหล้า สูบบุหรี่ จะช่วยป้องกันและชะลอการเสื่อมของไตได้

มีข้อมูลพบว่าคนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคเค็มมากกว่าปกติกว่า 2 เท่า มากกว่าค่าที่กำหนด หรือมากกว่า 2000 มิลลิกรัมต่อวัน (โซเดยี ม 4,320 มิลลิกรัม) หรือเปรียบเทียบเป็นเกลือ 10.8 กรัมต่อวัน โดยทั่วไปแนะนำไม่ควรบริโภคเกลือเกิน 5 กรัมต่อวันหรือเทียบเท่ากับ 1 ช้อนชาต่อวัน น้ำปลาหรือซอสปรุงรสไม่เกิน 4 ช้อนชาหรือ 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน การลดความเค็มในอาหารจะลดการเกิดโรคที่เกิดจากการบริโภคโซเดียมเกินได้ ซึ่งรวมถึงโรคไตเรื้อรัง และโรคภาวะความดันโลหิตสูง

ทั้งนี้ ควรระมัดระวังความเค็มที่มีอยู่ในอาหารที่ได้รับการแปรรูปมาแล้วรวมทั้งอาหารกระป๋อง โดยท่านจะทราบปริมาณโซเดียมในอาหารได้จากข้อมูลฉลากข้างผลิตภัณฑ์

สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆขอได้จัดงาน “วันไตโลก” (World Kidney Day) ประจำปี 2562 ภายใต้คำขวัญ “Kidney Health for Everyone Everywhere” หรือ“ทุกคนทั่วไทย ไตแข็งแรง” เพื่อให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไตและการป้องกันโรคไตอย่างเหมาะสม ในวันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2562 นี้ ณ เอเทรียมโซน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ถนนราชประสงค์ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 18.00 น และในวันที่ 11-17 มีนาคม 2562 ได้จัดเป็นสัปดาห์รณรงค์ลดการบริโภคเค็มด้วย

ผู้เขียน : ผศ.พญ.วรางคณา พิชัยวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอายุรกรรมโรคไต โรงพยาบาลราชวิถี

ผศ.พญ.วรางคณา พิชัยวงศ์

อาการบวม