สหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายด้านการบริหารประกันสุขภาพที่ล้ำหน้ากลุ่มประเทศรายได้สูงไปมาก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลในสหรัฐอเมริกาแพงลิ่ว และเทคโนโลยีข้อมูลสุขภาพก็อาจไม่ใช่กุญแจสำคัญที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย ขณะที่ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์อาจส่งผลดีต่อผลลัพธ์ทางคลินิก
เว็บไซต์ newsatjama.jama.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์วารสารทางด้านการแพทย์จากสมาคมการแพทย์อเมริกัน ได้เขียนถึงงานวิจัยค่าใช้จ่ายด้านการบริหารของบริการรักษาพยาบาลในสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า การลดรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนเป็นความท้าทายที่สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญ ค่าใช้จ่ายด้านการบริหารเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลในสหรัฐอเมริกาแพงลิ่ว และเทคโนโลยีข้อมูลสุขภาพก็อาจไม่ใช่กุญแจสำคัญที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย ขณะที่ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์อาจส่งผลดีต่อผลลัพธ์ทางคลินิก
แม้จะเผยแพร่ตั้งแต่ 15 ปีก่อนแต่ข้อมูลการศึกษาวิจัยค่าใช้จ่ายด้านการบริหารของบริการรักษาพยาบาลในสหรัฐอเมริกาซึ่งมีการอ้างถึงไว้มากที่สุดก็ชี้ว่าค่าใช้จ่ายนี้มีสัดส่วนรวมร้อยละ 30 ของค่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพทั้งหมด แม้ข้อมูลในระยะหลังมีตัวเลขแตกต่างไปบ้างแต่ข้อสรุปก็ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน...สหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายด้านการบริหารที่ล้ำหน้ากลุ่มประเทศรายได้สูงไปมาก
การศึกษาวิจัยได้มุ่งความสนใจไปที่ค่าใช้จ่ายการออกบิลและค่าใช้จ่ายจากการประกัน (billing and insurance-related: BIR) อันเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายด้านการบริหาร ระบบสุขภาพหลายกองทุนเป็นสาเหตุให้สหรัฐอเมริกามี BIR ที่ซับซ้อน ต่างจากระบบสุขภาพซึ่งมี BIR ที่เรียบง่ายกว่าเช่นในแคนาดาและสก็อตแลนด์ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีค่าใช้จ่ายการบริหารที่ต่ำกว่า
ค่าใช้จ่าย BIR มีสัดส่วนเกือบร้อยละ 17 ของรายจ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาในปี 2553 หรือคิดเป็น 471,000 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันก็เป็นส่วนสำคัญของรายได้ในระบบสุขภาพแต่ละระบบ โดยในระดับสถาบันการแพทย์พบว่าค่าใช้จ่าย BIR มีสัดส่วนร้อยละ 14.5 ของรายได้ในบริการปฐมภูมิและกว่าร้อยละ 25 ในบริการฉุกเฉิน ในระดับแพทย์พบว่าค่าใช้จ่ายการบริหารรายปีสำหรับแพทย์บริการปฐมภูมิสูงเกือบ 100,000 ดอลลาร์ต่อคน ขณะที่ประเมินว่าเวลาที่แพทย์ต้องใช้ไปกับการโต้ตอบกับแผนประกันสุขภาพมีมูลค่ากว่า 68,000 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี
ลดภาระค่าใช้จ่าย BIR
แม้การศึกษาวิจัยได้ระบุภาระค่าใช้จ่าย BIR ในสหรัฐอเมริกาไว้อย่างชัดเจนแต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางสำหรับลดค่าใช้จ่ายดังกล่าว อย่างไรก็ดีข้อมูลจากการศึกษาในปี 2553 เสนอว่าการกำหนดวิธีปฏิบัติสำหรับ BIR ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการบริหารได้
ความซับซ้อนในระบบการออกบิลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างผู้รับประกันภาครัฐและภาคเอกชน อย่างไรก็ดีการที่ยังคงกองทุนสุขภาพไว้ในระบบโดยที่วางแนวทางปฏิบัติให้เป็นมาตรฐานเดียวกันก็อาจช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการบริหารได้เช่นเดียวกับโครงสร้างระบบสุขภาพที่เรียบง่ายกว่า
เทคโนโลยีข้อมูลสุขภาพมักเป็นที่คาดหวังว่าจะลดค่าใช้จ่ายดังกล่าว บทบรรณาธิการในวารสาร JAMA ชี้ว่าเทคโนโลยีข้อมูลสุขภาพโดยเฉพาะเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพในกระบวนการ BIR เท่านั้นหากยังเป็นโอกาสที่จะลดค่าใช้จ่ายหรืออย่างน้อยก็ชะลออัตราการเติบโตของค่าใช้จ่ายได้
แรนด์คอร์ปอเรชันสามารถลดค่าใช้จ่ายก้อนโตและเพิ่มผลลัพธ์ด้านสุขภาพจากการนำเทคโนโลยีข้อมูลสุขภาพมาใช้อย่างจริงจังเมื่อปี 2548 โดยประเมินว่าการนำเทคโนโลยีข้อมูลสุขภาพมาใช้มีต้นทุนปีละ 8,000 ล้านดอลลาร์ขณะที่สามารถลดค่าใช้จ่ายโดยรวมถึง 77,000 ล้านดอลลาร์จากประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น (รวมถึงลดอัตราการนอนโรงพยาบาลและค่าใช้จ่ายการบริหาร) และเมื่อรวมกับการสั่งจ่ายยาผ่านระบบคอมพิวเตอร์ก็สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกราวปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์
สหรัฐอเมริกาผ่านกฎหมายเทคโนโลยีข้อมูลสุขภาพเพื่อเศรษฐศาสตร์สุขภาพและการแพทย์ (Health Information Technology for Economic and Clinical Health: HITEC) เพื่อผลักดันการใช้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ รายงานปี 2558 โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของสหรัฐอเมริกาเสนอว่ามาตรการดังกล่าวอาจบรรลุผลสำเร็จ ดังที่พบว่าอัตราของแผนกผู้ป่วยนอกที่ใช้ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐานเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าหลังจากกฎหมายดังกล่าวผ่านสภา
ด้านนักวิชาการมองว่ากฎหมาย HITECH เป็นพื้นฐานสำคัญของระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และขยายขอบเขตของเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ให้ครอบคลุมไปถึงการออกบิลและการเรียกร้องสินไหมชดเชย โดยคาดว่าหากดำเนินการเป็นผลสำเร็จก็จะช่วยประหยัดรายจ่ายระบบสุขภาพได้ถึงปีละ 2,000 ล้านดอลลาร์
รายจ่ายลดลงแล้วผลลัพธ์จะดีขึ้นหรือไม่
ในความเป็นจริงแล้วเทคโนโลยีข้อมูลสุขภาพไม่ได้ลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีนัยสำคัญ การศึกษาทบทวนผลลัพธ์การใช้เทคโนโลยีข้อมูลสุขภาพในโรงพยาบาลหลายพันแห่งในสหรัฐอเมริกาไม่พบว่าค่าใช้จ่ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญที่ 5 ปี และจากการศึกษาโครงการนำร่องเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ในรัฐแมสซาชูเสตส์กลับได้ผลเชิงลบโดยพบว่าทำให้มีค่าใช้จ่ายต่อแพทย์แต่ละคนเพิ่มขึ้นร่วม 44,000 ดอลลาร์
นอกจากนี้มีผลการศึกษาชี้ว่าต้นทุนเป็นอุปสรรคใหญ่ของการนำระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในเวชปฏิบัติ อีกทั้งการนำระบบสั่งจ่ายยาผ่านคอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้ช่วยให้ค่าใช้จ่ายการรักษาลดลงแต่อย่างใด กระนั้นก็ดีผลการศึกษาชี้ตรงกันว่าระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้ผลลัพธ์ทางคลินิกดีขึ้นทั้งในแง่การลดข้อผิดพลาด รวมถึงเพิ่มพูนประสิทธิภาพและผลลัพธ์ด้านสุขภาพ
อีกด้านหนึ่งพบว่าเทคโนโลยีข้อมูลสุขภาพเพิ่มการปฎิบัติตามแนวทางเวชปฏิบัติและการเฝ้าระวังโรค และอาจสัมพันธ์กับการลดความผิดพลาดทางการแพทย์และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากยา นอกจากนี้เทคโนโลยีข้อมูลสุขภาพยังอาจลดความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลและผลลัพธ์ไม่พึงประสงค์ด้านการคลอด ขณะที่ยกระดับการรักษาพยาบาลโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง
ค่าใช้จ่ายด้านการบริหารที่สูงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลในสหรัฐอเมริกามีราคาแพง อย่างไรก็ดีการนำเทคโนโลยีข้อมูลสุขภาพมาใช้อาจไม่ได้ช่วยให้ค่าใช้จ่ายลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์อาจส่งผลดีต่อผลลัพธ์ทางคลินิก
ขอบคุณ แปลจากเว็บไซต์ JAMA Forum (Journal of American Medical Association) วารสารทางด้านการแพทย์จากสมาคมการแพทย์อเมริกัน บทความเรื่อง Administrative Costs and Health Information Technology โดย Elsa Pearson, MPH, and Austin Frakt, PhD
- 172 views