ครม.เห็นชอบให้ทุก รพ.รับรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินภายใน 72 ชม. เก็บเงินตามบัญชีค่าใช้จ่ายที่กำหนด หากมีสิทธิตาม กม.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือ กม.ว่าด้วยการประกันชีวิตให้ใช้สิทธินั้นก่อน หลังจากนั้นส่งต่อ รพ.ตามสิทธิที่ผู้ป่วยมีอยู่ เตรียมแถลง 31 มี.ค.นี้รับช่วงเทศกาลสงกรานต์
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ครม.มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ดังนี้
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถหรือตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิตให้ใช้สิทธิดังกล่าวก่อน และให้สถานพยาบาลภาครัฐทุกแห่งปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ฯ และให้สถานพยาบาลภาครัฐรับย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหลังเวลา 72 ชั่วโมง ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
2. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม หน่วยงานของรัฐ และกองทุนต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุข ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ฯ และค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ สธ.เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎ ระเบียบของหน่วยงาน/กองทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้รองรับการจ่ายเงินคืนแก่สถานพยาบาลตามหลักเกณฑ์ได้ โดยเร็วต่อไป
3. หากมีการทบทวนปรับปรุงบัญชีและอัตราค่าใช้จ่าย ตามข้อ 12 ของหลักเกณฑ์ฯ ให้ สธ.นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้เป็นไปตามนัยมาตรา 36 วรรค 5 แห่งพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ต่อไป
4. ในส่วนที่ขอความเห็นชอบให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติดำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉินทั้งระบบเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชนนั้น ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. กำหนดให้สถานพยาบาลมีหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต เพื่อให้พ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพและขีดความสามารถของสถานพยาบาล โดยไม่มีเงื่อนไขการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล และกำหนดให้สถานพยาบาลมีหน้าที่แจ้งต่อกองทุนของผู้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาล ตามกฎหมาย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบโดยเร็ว
2. กำหนดให้ศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (สพฉ.) เป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการวินิจฉัยในการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต
3. กำหนดให้สถานพยาบาลมีหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต จนพ้นภาวะวิกฤต รวมถึงการจัดให้มีระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตไปยังสถานพยาบาลอื่น ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องส่งต่อ หรือผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือญาติมีความประสงค์
4. กำหนดอัตราค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานับตั้งแต่รับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตจนถึงเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งสถานพยาบาลจะได้รับให้เป็นไปตามบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้าย ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหลังเวลา 72 ชั่วโมง นับตั้งแต่รับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ให้สถานพยาบาลเรียกเก็บไปที่กองทุนของผู้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลตามกฎหมายหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
5. กำหนดให้ สปสช. มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและสรุปค่าใช้จ่ายพร้อมทั้งแจ้งให้กองทุนของผู้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลตามกฎหมายหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับเอกสารครบถ้วน และให้กองทุนของผู้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลตามกฎหมายหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จ่ายค่าใช้จ่ายตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีแนบท้ายให้แก่สถานพยาบาลภายใน 15 วัน นับจากวันที่ สปสช.แจ้งผลการตรวจสอบและสรุปค่าใช้จ่าย
6. กำหนดหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายที่สถานพยาบาลจะได้รับ ในกรณีที่มีการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตจากสถานพยาบาลแห่งหนึ่งไปยังสถานพยาบาลแห่งที่สอง ภายในเวลาก่อนครบ 72 ชั่วโมง นับแต่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลแห่งที่หนึ่ง
7. กำหนดให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เกิดขึ้น ในกรณีที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสามารถย้ายสถานพยาบาลได้แต่ปฏิเสธไม่ขอย้าย
8. ในกรณีมีความจำเป็น ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานพยาบาล ดำเนินการทบทวนปรับปรุงบัญชีและอัตราตามบัญชีแนบท้ายหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขนี้ ภายใน 3 ปีหรือตามที่คณะกรรมการสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลเห็นสมควร เพื่อให้มีความเหมาะสมโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยฉุกเฉินจะได้รับเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ บัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 12 หมวดสรุปสาระสำคัญดังนี้
หมวด |
รายการ |
รายละเอียด/ตัวอย่าง |
1 |
ค่าห้องและค่าอาหาร |
เช่น ค่าเตียงสามัญ เบิกได้ไม่เกิน 100 บาท ค่าหอผู้ป่วยวิกฤต
|
2 |
ค่าอวัยวะเทียมและ อุปกรณ์บำบัดโรค |
เช่น เยื่อหุ้มสมองเทียม แผ่นละ 9,000 บาท ลิ้นหัวใจเทียมชนิดลูกบอล อันละ 29,000 บาท ชุดสายยางและปอดเทียมชุดละ 80,000 บาท |
3 |
ค่ายาและสารอาหารทางเส้นเลือด
|
กำหนดเป็นราคาแยกรายตัวยา ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยที่อ้างอิงข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ สธ. และราคายาของกรมบัญชีกลาง |
4 |
ค่าเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา |
|
5 |
ค่าบริการโลหิตและส่วนประกอบ ของโลหิต |
หมายถึง ค่าจัดการบริการให้โลหิตหรือส่วนประกอบของโลหิตโดยรวมค่าอุปกรณ์บรรจุ น้ำยาที่ใช้การเตรียมการตรวจทางเทคนิค |
6 |
ค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ |
เช่น ค่าตรวจน้ำตาลในเลือด ค่าตรวจปัสสวะ โดยรวมค่าน้ำยาและวัสดุสิ้นเปลือง ค่าอุปกรณ์ |
7 |
ค่าตรวจวินิจฉัยและรักษาทาง รังสีวิทยา |
เช่น ภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์ แผ่นละ 300 บาท อัลตราซาวด์ครั้งละ 1,150 บาท MRI สมอง ครั้งละ 8,000 บาท |
8 |
ค่าตรวจวินิจฉัยโดยวิธีพิเศษอื่น ๆ |
เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้านแบบสามมิติ ครั้งละ 3,600 บาท |
9 |
ค่าทำหัตถการ |
เช่น ห้องผ่าตัดใหญ่ ชั่วโมงละ 2,400 บาท |
10 |
ค่าบริการวิสัญญี |
หมายถึง ค่าบริการระงับความรู้สึกเจ็บปวด ของคนไข้ก่อนผ่าตัด |
11 |
ค่าบริการวิชาชีพ |
เช่น ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าบริการเภสัชกร ค่าบริการพยาบาล |
12 |
ค่าบริการอื่น ๆ |
ได้แก่ ค่าบริการรถฉุกเฉิน ครั้งละ 700 บาท ค่าน้ำมันรถ 4 บาท/กม. |
ทั้งนี้ เว็บไซต์ไทยรัฐ รายงานว่า นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการส่งผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอโดยที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติในหลักการว่าการเจ็บป่วยฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมงสามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นของรัฐและเอกชน จากนั้นจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลตามสิทธิที่ผู้ป่วยมีอยู่ ซึ่งในส่วนของโรงพยาบาลภาครัฐขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯหรือแม้แต่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงกลาโหม พร้อมรับผู้ป่วยฉุกเฉินตลอด
นพ.ปิยะสกล กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้จะมีการนำระเบียบดังกล่าวไปปรับแก้อีกเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ได้ในช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์เป็นต้นไป และจะมีการจัดแถลงข่าวรายละเอียดทั้งหมด 31 มี.ค .นี้
- 413 views