รายงานฉบับล่าสุดของธนาคารโลก เผยถึงปัญหาเรื่องช่องว่างการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของคนชราในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มว่า ประชากรคนชราซึ่งกำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จะไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้โดยสะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยากจนและอยู่ในพื้นที่ห่างไกล แนะขยายบทบาท อปท.ส่งเสริมการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ โดยมีบริการรถตู้ฉุกเฉินสำหรับชุมชนและจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุในชุมชน

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย และอีกไม่นานความต้องการของผู้สูงอายุและปัญหาทางสุขภาพที่เพิ่มขึ้นจะมีจำนวนเกินกว่ากำลังการให้บริการทางสุขภาพของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ยากจนในชนบท จากรายงานล่าสุดของธนาคารโลก “ปิดช่องว่างการเข้าถึงบริการทางสุขภาพของผู้สูงอายุ: ความเป็นธรรมทางสุขภาพและความครอบคลุมทางสังคมในประเทศไทย” พบว่าการขยายบทบาทหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลและอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน (อสม.) จะช่วยเพิ่มกำลังและรองรับปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ได้ 

“ประเทศไทยควรพิจารณาการปฏิรูปตั้งแต่ตอนนี้เพื่อเป็นตัวช่วยในการขยายความครอบคลุมของระบบประกันสุขภาพ และการดูแลระยาว รวมถึงความคุ้มครองทางการเงินสำหรับผู้สูงอายุ ไปพร้อมๆ กับการจัดการรายจ่ายสาธารณะอย่างยั่งยืน” นายอูริค ซาเกา ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว “พวกเราทุกคนมีสมาชิกผู้สูงอายุในครอบครัวหรือมีเพื่อนสูงวัยที่ต้องการการดูแล ดังนั้นการเข้าถึงบริการทางสุขภาพขั้นพื้นฐานของผู้สูงอายุและการใช้มาตรการที่จะช่วยผู้สูงอายุให้ได้รับประโยชน์จากบริการดังกล่าวโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกลจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง”

ในปี 2558 ผู้สูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไปมีจำนวนกว่าร้อยละ 10 หรือมากกว่า 7 ล้านคน และมีการคาดการณ์ว่าจำนวนจะเพิ่มขึ้นถึง 17 ล้านคน ภายในปี 2583 ซึ่งมากกว่า 1 ใน 4 ของประชากรไทยทั้งหมด ทำให้ประเทศไทยจะมีสัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุมากที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และคาดว่าจะมีสัดส่วนมากเป็นลำดับแรกของภูมิภาคภายในปี 2583 เช่นเดียวกับประเทศจีน

ในขณะที่ประชาชนไทยทุกคนได้รับสิทธิคุ้มครองจากหลักประกันสุขภาพตั้งแต่ปี 2545 รายงานพบว่ายังมีผู้สูงอายุอีกหลายคนประสบกับความยากลำบากในการใช้บริการทางสุขภาพเหล่านี้ เหตุผลหลักประการหนึ่งคือ พวกเขาต้องพึ่งพาผู้ดูแลและญาติพี่น้องในเวลาที่ต้องเดินทางมายังสถานพยาบาล ซึ่งเกิดขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุยากจน และผู้สูงอายุวัยปลายที่มีอายุมากกว่า 80 ปีและอาศัยอยู่ในชนบท

“หลายๆ คนเมื่อตอนอายุประมาณ 55-65 ปียังสามารถเดินทางไปยังสถานพยาบาลได้ด้วยตนเอง เมื่อแก่ตัวลงสุขภาพเริ่มอ่อนแอและมีข้อจำกัดต่างๆ ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปยังสถานพยาบาลได้อย่างเช่นเคย และเมื่อผู้สูงอายุจำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่นเพื่อพาพวกเขาไปยังสถานพยาบาล ความถี่ของการใช้บริการที่สถานพยาบาลก็ลดลงในที่สุด แนวโน้มเช่นนี้จะเห็นได้ชัดในหมู่ผู้สูงอายุยากจน โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและกลุ่มที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับลูกหลานวัยทำงาน” นายสุทยุต โอสรประสพ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนามนุษย์ ธนาคารโลก และผู้เขียนรายงานฉบับนี้กล่าว

รายงานพบว่า การขาดแคลนระบบขนส่งสาธารณะที่มีราคาย่อมเยาว์เป็นอุปสรรคสำคัญในการในการเข้าถึงการบริการทางสุขภาพในหมู่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ใกล้กับทางหลวงหรือถนนสายหลักที่มีรถประจำทางวิ่งผ่าน จึงจำเป็นที่จะต้องจ้างรถ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่ยากจนและดำรงชีวิตด้วยเบี้ยเลี้ยงยังชีพจากบำนาญถ้วนหน้าเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยงที่สุดและมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านี้ไม่มีเงินเพียงพอสำหรับการเดินทางมายังสถานพยาบาลในเวลาที่เจ็บป่วย รวมถึงค่าอาหารและค่าที่พักใกล้กับโรงพยาบาลอีกด้วย

“ผู้สูงอายุยากจนในพื้นที่ชนบทประสบกับอุปสรรคต่างๆ มากมายในการเข้าบริการทางสุขภาพ พวกเขาจำเป็นต้องจ่ายค่ายานพาหนะซึ่งมีราคาสูง เพื่อเดินทางมายังโรงพยาบาล รวมไปถึงค่าอาหารและที่พัก และยังมีอีกหลายกรณีที่ผู้สูงอายุต้องยืมเงินเพื่อมาจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้เพื่อให้สามารถเข้ารับบริการทางสุขภาพได้” นางสาวศิริวรรณ อรุณทิพย์ไพฑูรย์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสเฉพาะด้านผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าว

อาสาสมัครประจำหมู่บ้านมีบทบาทในการช่วยเหลือทางด้านสุขภาพเบื้องต้นแก่ผู้สูงอายุในชุมชน ผ่านการเยี่ยมเยียนตามบ้าน และการจัดกิจกรรมออกกำลังกาย พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการป้องกันโรค นอกจากนี้ องค์การบริหารส่วนตำบลหลายแห่งได้มีบทบาทในการส่งเสริมการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ โดยมีบริการรถตู้ฉุกเฉินสำหรับชุมชนและจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุในชุมชน ประเทศไทยเองก็สามารถสนับสนุนและขยายการดำเนินงานแนวปฏิบัติที่ดีเหล่านี้ได้ รวมไปถึงบริการเยี่ยมบ้าน โดยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และมาตรการต่างๆ ที่จะอำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุในการเดินทางมายังสถานพยาบาลเมื่อจำเป็น

ผลการศึกษา “ปิดช่องว่างการเข้าถึงบริการทางสุขภาพของผู้สูงอายุ: ความเป็นธรรมทางสุขภาพและความครอบคลุมทางสังคมในประเทศไทย” โดยธนาคารโลก

  • แม้ว่าระบบประกันสุขภาพของรัฐจะครอบคลุมประชาชนไทยทุกคนและให้สิทธิประโยชน์ค่อนข้างครบถ้วน ทว่าช่องว่างในการเข้าถึงและการใช้บริการทางสุขภาพที่เกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาและการสนับสนุนทางสังคมยังคงมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้สูงอายุยากจนและผู้สูงอายุวัยปลาย (80 ปีขึ้นไป) ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทโดยเฉพาะ
  • ประเทศไทยขยายความครอบคลุมของระบบประกันสุขภาพทั่วประเทศสำเร็จในปี 2545 ซึ่งประชาชนไทยได้รับสิทธิบริการทางสุขภาพจากระบบประกันสุขภาพของรัฐอย่างน้อย
  • สิทธิประโยชน์เหล่านี้ได้เพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางสุขภาพและลดภาระทางการเงิน พร้อมบรรเทาความเสี่ยงต่อความยากจนจากค่าใช้จ่ายในการรักษาต่างๆ
  • อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุยากจนและผู้สูงอายุวัยปลายที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทกำลังประสบกับปัญหาการขาดแคลนผู้ดูแลและการสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกี่ยวกับการรักษา อาทิ ค่าใช่จ่ายในการเดินทางไปยังสถานพยาบาล ซึ่งเป็นสาเหตุให้การเข้าถึงบริการทางสุขภาพยากลำบาก
  • การขาดแคลนระบบขนส่งสาธารณะที่มีราคาย่อมเยาว์เป็นอุปสรรคสำคัญในการในการเข้าถึงการบริการทางสุขภาพในหมู่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ใกล้กับทางหลวงหรือถนนสายหลักที่มีรถประจำทางวิ่งผ่าน ที่จำเป็นที่จะต้องจ้างรถ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
  • ผู้สูงอายุที่ยากจนและดำรงชีวิตด้วยเบี้ยเลี้ยงยังชีพจากบำนาญถ้วนหน้าเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยงที่สุด คนเหล่านี้ไม่มีเงินเพียงพอสำหรับการเดินทางมายังสถานพยาบาลในเวลาที่เจ็บป่วย ซึ่งไม่รวมถึงค่าอาหารและค่าที่พักหากพวกเขาจะต้องค้างคืน
  • เหตุผลหลักอีกประการหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้อัตราการใช้สิทธิประโยชน์จากระบบประกันสุขภาพลดลงในหมู่ผู้สูงวัย คือ การพึ่งพาผู้ดูแลและญาติพี่น้องในเวลาที่ต้องเดินทางมายังสถานพยาบาล ซึ่งเห็นได้จากจำนวนผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับบุตรหลานที่ไปใช้สิทธิลดลงจากร้อยละ 80 ในปี 2533 เหลือร้อยละ 60 ในปี 2554
  • ทางเลือกนโยบายต่างๆ ที่สามารถนำมาพิจารณาและปรับใช้เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าถึงบริการทางสุขภาพและลดอัตราการประสบภาวะสิ้นเนื้อประดาตัวจากการเจ็บป่วยในหมู่ผู้สูงวัย
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งรวมถึงการให้บริการรถตู้ฉุกเฉินสำหรับชุมชนและการจัดหายานพาหนะรับส่งผู้สูงอายุที่ยากจนมายังสถานพยาบาลตามความจำเป็น
  • อาสาสมัครประจำหมู่บ้านสามารถมีบทบาทในการช่วยเหลือทางด้านสุขภาพเบื้องต้นแก่ผู้สูงอายุในชุมชน ผ่านการเยี่ยมเยียนตามบ้าน และการจัดกิจกรรมออกกำลังกาย พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการป้องกันโรค
  • แผนงานการคัดกรองและการมุ่งเป้าดูแลกลุ่มคนยากจนควรได้รับการทบทวนเพื่อพัฒนาการให้บริการทางสุขภาพและสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องแก่ผู้ที่ต้องการมากที่สุด
  • บริการเยี่ยมบ้าน โดยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ รวมถึงมาตรการต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางมายังสถานพยาบาลแกผู้สูงอายุยากจนเมื่อจำเป็นควรได้รับการสนับสนุน

ขอบคุณภาพและข่าวจากธนาคารโลก