สพฉ.เตือนพ่อแม่ระวังอุบัติเหตุในเด็ก ย้ำ “อุบัติเหตุจราจร-สิ่งแปลกปลอมติดคอ” น่ากังวลสุด แนะพ่อแม่เรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น ระบุหากมีสิ่งแปลกปลอมติดคอเด็กอย่าพยายามล้วงคอเด็ดขาดหวั่นหลุดเข้าหลอดลมยิ่งเสี่ยงอันตรายมากขึ้น เผยปี 57 มีเด็กเจ็บป่วยฉุกเฉินกว่า 129,002 ครั้ง
นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า อุบัติเหตุที่น่าเป็นห่วงสำหรับเด็กเล็กมีด้วยกันหลายประเภท แต่สิ่งที่พบเห็นได้บ่อยมากอย่างหนึ่ง และมักมีการขอความช่วยเหลือทางกรแพทย์ฉุกเฉิน คือ เด็กนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปากจนติดคอและหายใจไม่ออก ซึ่งเด็กในวัยนี้มักเป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็น ชอบสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อเห็นวัตถุแปลกปลอม อาทิ เงินเหรียญ หรือวัตถุแปลกปลอมที่มีสีสัน ลูกปัด เด็กมักจะหยิบเข้าปากและคิดว่ากินได้ จนทำให้วัตถุแปลกปลอมติดคอซึ่งบางรายหากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นผู้ปกครองควรเก็บของให้เป็นระเบียบ และสอนบุตรหลานว่าสิ่งใดเป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่ควรนำเข้าปาก
ทั้งนี้หากบุตรหลานของท่านมีสิ่งแปลกปลอมติดคอ ควรรีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ และสำรวจว่าเด็กมีสติหรือไม่ ในกรณีที่เด็กยังมีสติอยู่ ผู้ปกครองไม่ควรใช้นิ้วมือล้วงเข้าไปในปากของผู้ป่วยเพื่อนำสิ่งแปลกปลอมออกมา เพราะการล้วงเข้าไปมีความเสี่ยงที่จะทำให้สิ่งแปลกปลอมตกไปในหลอดลมได้ พยายามให้ผู้ป่วยไอด้วยตัวเอง จนสิ่งแปลกปลอมหลุดออกมา แต่หากสิ่งแปลกปลอมไม่หลุดออกมา ให้ยืนด้านหลังของบุตรหลานแล้วใช้มือสอดแขนทั้งสองข้างไว้ใต้แขนของผู้ป่วย กำมือข้างที่ถนัดกดตรงกลางท้องบริเวณกึ่งกลางระหว่างกระดูกลิ้นปี่กับสะดือ แล้วใช้มืออีกข้างจับไว้ให้แน่น จากนั้นให้ออกแรงกระตุกเข้าหาตัว พร้อมๆ กับดันขึ้นด้านบน โดยออกแรงกระตุกให้หนักและทำเป็นจังหวะสม่ำเสมอ วิธีนี้เป็นการบังคับอากาศที่อยู่ในปอดให้อัดกระแทกออกมาที่บริเวณหลอดลม จะช่วยให้สิ่งแปลกปลอมหรือเศษอาหารหลุดออกมาได้ ให้ทำจนกว่าผู้ป่วยจะเริ่มสำลัก หรือไอจนสิ่งแปลกปลอมหลุดออกมา หรือจนกว่าผู้ป่วยจะหายใจเองได้ จากนั้นให้ผู้ป่วยนอนตะแคง เพื่อรอทีมผู้ปฏิบัติการทางการแพทย์มาถึง
อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยวิธีนี้อาจทำให้เกิดการบอบช้ำหรือบาดเจ็บที่อวัยวะภายใน หรือสิ่งแปลกปลอมอาจจะหลุดออกมาไม่หมดและอาจตกลงไปที่ปอด ทำให้เกิดการอุดตันหลอดลมหรือปอดติดเชื้อ ดังนั้นเมื่อปฐมพยาบาลด้วยวิธีนี้ จึงควรไปพบแพทย์ทุกครั้ง ส่วนการปฐมพยาบาลเด็กเล็กที่อายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป กรณีหมดสติ หลังจากโทรแจ้งขอความช่วยเหลือที่สายด่วน 1669 แล้ว ให้ผู้ป่วยนอนลงกับพื้น หากผู้ป่วยไม่หายใจ ให้ยกคางผู้ป่วยขึ้นให้ศีรษะแหงนไปข้างหลังให้มากที่สุด และพยายามช่วยเหลือด้วยการฟื้นคืนชีพตามคำแนะนำของผู้ปฏิบัติการทางการแพทย์ฉุกเฉิน
นพ.อนุชา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้อันตรายที่เกิดขึ้นกับเด็กได้มากที่สุด คือ อุบัติเหตุจากการจราจร ดังนั้นหากผู้ปกครองจะพาบุตรหลานออกนอกบ้าน ควรดูแลเรื่องความปลอดภัย โดยหากเด็กนั่งรถยนต์ควรให้เด็กนั่งที่เบาะหลังและคาดเข็มขัดนิรภัย หรือเด็กเล็กควรนั่งคาร์ซีท จะช่วยลดความรุนแรงหากเกิดอุบัติเหตุ ส่วนเด็กที่นั่งรถจักรยานยนต์ ให้เด็กสวมหมวกนิรภัยขนาดที่เหมาะสมกับเด็ก เพื่อป้องกันไม่ให้ศีรษะได้รับการกระแทก เพราะสิ่งที่น่ากังวลสำหรับเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุคือการกระทบกระเทือนทางศีรษะ เพราะเด็กอาจเสียชีวิตได้โดยง่าย หรืออาจจะพิการไปตลอดชีวิต รวมถึงการบาดเจ็บของอวัยวะภายใน เช่น ตับและม้าม เพราะเด็กจำนวนมากไม่สามารถร้องบอกอาการเจ็บป่วยของตัวเองได้ จึงอาจทำให้เกิดภาวะของการเสียเลือดมาก ทำให้ช็อค หมดสติ ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการฉุกเฉินที่ร้ายแรง ดังนั้นหากเด็กประสบอุบัติเหตุควรรีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือในทันที
ทั้งนี้ สพฉ.ได้รวบรวมสถิติการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่เกิดขึ้นกับเด็กในปี 2557 ที่ผ่านมาพบว่า มีเด็กอายุระหว่าง 1-14 ปี ได้รับบาดเจ็บฉุกเฉินที่ขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1669 กว่า 129,002 ครั้ง โดยอาการฉุกเฉินที่น่าเป็นห่วง คือ การเจ็บป่วยฉุกเฉินจากการสำลัก มีสิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจ จำนวน 259 ครั้ง และอุบัติเหตุยานยนต์ อุบัติเหตุจราจร จำนวน 298,246 ครั้ง