ศิริราชเผยผลพิสูจน์เบื้องต้นแมงมุมพิษกัดหนุ่มแพร่อาการสาหัส พบอาการป่วยและซากแมงมุมเข้ากันได้กับกลุ่มแมงมุมพิษสีน้ำตาล ยันไม่ใช่ "แม่ม่ายสีน้ำตาล" แต่อาจสับสนเพราะชื่อคล้าย ระบุพิษแมงมุมสีน้ำตาลทำให้เนื้อตาย ส่วนกลุ่มแม่ม่ายส่งผลต่อระบบประสาท เผยผู้ป่วยเสี่ยงเสียชีวิตเหตุติดเชื้อแทรกซ้อนมาก ไม่ใช่พิษจากแมงมุม ด้านผู้ชี่ยวชาญพิษจุฬาฯ ร่วมยันพิษแมงมุมไม่ทำให้ตาย แม้รุนแรงกว่าพิษงู เหตุปริมาณน้ำพิษน้อย แนะถูกกัดให้รอดูอาการ 1 วัน หากไม่ดีขึ้นให้พบแทย์
วันนี้ (18 ก.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ตึกอำนวยการ รพ.ศิริราช พญ.ธัญจิรา จิรนันทกาญจน์ อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาคลินิก ศูนย์พิษวิทยาศิริราช แถลงข่าวผลพิสูจน์ซากแมงมุม กรณีผู้ป่วยถูกแมงมุมพิษกัดที่ จ.แพร่ ว่า ศูนย์พิษฯ ได้รับการติดต่อจาก รพ.แพร่ เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับผู้ป่วยที่สงสัยว่าถูกแมงมุมพิษกัดที่ขา 2 ข้าง เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ 2 หลังจากผู้ป่วยถูกแมงมุมกัด ซึ่งจากการพิจารณาพบว่า ผู้ป่วยน่าจะถูกแมงมุมกัดจริง เนื่องจากผู้ป่วยเห็นตัวแมงมุม สามารถบอกได้ว่าเป็นสีน้ำตาลแดง ระบุขนาด และได้ตีแมงมุมจนตาย ทั้งนี้ จากการพิจารณาอาการของผู้ป่วยเข้าได้กับกลุ่มอาการที่เรียกว่า "ลอกโซเซลิซึม (Loxoscelism)" ซึ่งเกิดจากแมงมุมพิษสีน้ำตาลในกลุ่มลอกโซเซเลส สปีชีส์ (Loxosceles Species) เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการปวดบริเวณรอยกัด ต่อมาผิวหนังบริเวณโดยรอบที่กัดมีการบวม เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินคล้ำ และมีถุงน้ำสีน้ำเงินออกม่วง นอกจากนี้ ยังมีอาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ เกร็เลือดต่ำ การทำงานของตับและไตผิดปกติ ความดันโลหิตต่ำ และติดเชื้อแทรกซ้อนในกระแสโลหิต จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ยาหดหลอดเลือด การฟอกไต และการผ่าตัดแผลที่ติดเชื้อ
"อาการป่วยเช่นนี้เป็นคนละกลุ่มกับแมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาล แต่อาจมีการสับสนเกี่ยวกับชื่อได้ เนื่องจากมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเช่นเดียวกัน ซึ่งอาการของผู้ป่วยที่ถูกแมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาลกัดจะมีอาการปวดอย่างรุนแรง อาจมีเหงื่อไหลออกมาก ปวดเกร็งกล้ามเนื้อท้อง ปวดขา อาการจะเด่นทางระบบประสาท และแผลไม่มีการอักเสบเช่นผู้ป่วยรายนี้ " พญ.ธัญจิรา กล่าว
พญ.ธัญจิรา กล่าวอีกว่า นอกจากวินิจฉัยจากอาการของผู้ป่วยแล้ว ต้องดูลักษณะของแมงมุมที่กัดด้วย จึงบอกได้ว่าถูกแมงมุมชนิดใดกัด ซึ่งโชคดีที่ผู้ป่วยรายนี้ได้ตีแมงมุมจนตาย โดยญาติผู้ป่วยได้เก็บซากแมงมุมนำส่งศูนย์พิวิทยาศิริราช ซึ่งเราได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านแมลงและสัตว์ขาข้อคือ ผศ.ณัฐ มาลัยนวล และ รศ.พญ.สุภัทรา เตียวเจริญ ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ด้วยการดูแมงมุมด้วยตาเปล่าและกล้องจุลทรรศน์ โดยผลการตรวจเบื้องต้นพบว่า แมงมุมที่ส่งมานั้นมีทั้งตัวใหญ่และตัวเล็ก โดยแมงมุมตัวใหญ่เป็นแมมมุมที่พบทั่วไปตามบ้านและสวน ไม่มีพิษ ส่วนตัวเล็กขนาด 7 มิลลิเมตรนั้นพบว่า เป็นแมงมุมในกลุ่มแมงมุมพิษสีน้ำตาล (Family Brown Rescluse) ลักษณะเด่นของแมงมุมกลุ่มนี้คือ มีตา 3 คู่กระจายอยู่เป็นรูปตัวยู รวมเป็น 6 ตา ซึ่งต่างจากแมงมุมทั่วไปที่มี 4 คู่หรือ 8 ตา ขณะที่เขี้ยวของแมงมุมก็โค้งเข้ามาด้านใน ไม่ได้โค้งลง อย่างรก็ตาม เนื่องจากซากแมงมุมมีการเปลี่ยนสภาพ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบลักษณะเด่นของแมงมุมกลุ่มนี้ได้คือ ลายที่มีลักษณะคล้ายไวโอลินที่ลำตัว จึงต้องมีกระบวนการตรวจสอบเพิ่มเติมต่อไป ก่อนจะระบุได้ชัดเจนมากกว่านี้ ซึ่งถือว่าผู้ป่วยรายนี้เป็นรายแรกของประเทศไทยที่เข้ามารักษาจากการถูกแมงมุมชนิดนี้กัด พร้อมด้วยซากแมงมุม เพราะปกติส่วนใหญ่จะเข้ามารักษาอย่างเดียว โดยไม่มีซากแมงมุมและมักจะอธิบายลักษณะแมงมุมไม่ได้
รศ.พญ.สุภัทรา กล่าวว่า แมงมุมพิษที่พบทั่วไปเท่าที่มีรายงานคือ แมงมุมแม่ม่ายดำ แม่ม่ายน้ำตาล และแมงมุมพิษสีน้ำตาล โดยแมงมุมแม่ม่ายดำจะมีขนาด 1-2 เซนติเมตร ตัวสีดำ เมื่อผสมพันธุ์แล้วจะจับตัวผู้กินจึงได้ชื่อว่าแม่ม่าย ลักษณะเด่นคือมีลายนาฬิกาทรายใต้ท้อง ส่วนแมงมุมแม่ม่ายน้ำตาลจะมีลักษณะเช่นเดียวกับแมงมุมแม่ม่ายดำ แต่มีสีน้ำตาล โดยพิษในกลุ่มแมงมุมแม่ม่าย พิษจะส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ผิวหนังตาย มีเลือดออก มีพิษรุนแรง อาจทำให้เสียชีวิตได้ ส่วนแมงมุมสีน้ำตาล มีขนาดเล็กเช่นกันประมาณ 1-2 เซนติเมตร ลักษณะเด่นคือมีลายไวโอลินที่ส่วนของอก แต่พิษของแมงมุมสีน้ำตาลจะม่เป็นพิษต่อระบบประสาท แต่พิษจะทำปฏิกิริยาที่เยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เซลล์ตาย เมื่อถูกกัดมักไม่มีอาการในระยะแรกแต่หลังจากนั้น 3-8 ชั่วโมง จะเริ่มรู้สึกเจ็บ บวมแดง มีการอักเสบ เป็นผื่น แผลเริ่มมีสีดำไหม้ เป็นหนอง ขนาดแผลเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2.5 เซนติเมตร หากไม่รักษา เนื้อจะตายลุกลามไปเรื่อยๆ โดยแมงมุมสีน้ำตาลไม่ใช่แมงมุมในถิ่นบ้านเรา ส่วนใหญ่อยู่แถบอเมริกากลาง เช่น เม็กซิโก
นพ.สุชัย สุเทพารักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายกสมาคมพิษวิทยาคลินิก และที่ปรึกษาสถานเสาวภา กล่าวว่า สถานเสาวภามีคลินิกพิษจากสัตว์ รับปรึกษาผู้ป่วยจากงูกัด สัตว์มีพิษ สำหรับแมงมุมมีเข้ามาปรึกษาประปราย ปีละไม่ถึง 10 ราย แต่เชื่อว่าคนที่ถูกแมงมุมกัดมีมากกว่านั้น แต่ไม่ได้เข้ามาปรึกษา ทั้งนี้ แมงมุมนั้นมีพิษทั้งหมด อยู่ที่ว่ามีพิษมากหรือพิษน้อย อย่างแมงมุมทั่วไปก็สามารถกัดได้ แต่อาการจะคล้ายแมลงกัดต่อย มีอาการปวดบวมร้อน ดังนั้น เวลาถูกแมงมุมกัดจะแยกว่ามีพิษมากหรือน้อย ควรไปพบแพทย์หรือไม่ ให้สังเกตจากอาการ เพราะส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจำลักษณะแมงมุมไม่ได้ โดยหากถูกกัดแล้วให้รอดูอาการ 1 คืน หากมีอาการแค่ปวดบวมธรรมเจ็บหรือผื่นขึ้น ก็ไม่เป็นไร แต่หากอาการไม่ดีขึ้นต้องรีบมาพบแพทย์ นอกจากนี้ หากถูกกัดแล้วมีอาการปวดจนทนไม่ไหว หน้ามืด อาเจียน ไข้ขึ้น ให้มาพบแพทย์ทันที ส่วนการป้องกันแมงมุมกัดนั้น พวกยาทาป้องกันอาจใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ทางที่ดีคือควรจัดบ้านให้สะอาด และไม่แหย่แมงมุมเล่น
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงอาการของผู้ป่วยรายดังกล่าว พญ.ธัญจิรา กล่าวว่า เท่าที่ทราบคือผู้ป่วยเร่มรู้สึกตัวบ้าง แต่ยังต้องใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ โดยให้ยาเพื่อให้ผู้ป่วยหลับและไม่ต้านเครื่องช่วยหายใจ ส่วนความกังวลเรื่องเสียชีวิตนั้น ยอมรับว่าผู้ป่วยรายนี้มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนมาก และติดเชื้อในกระแสเโลหิตด้วย โอกาสเสียชีวิตจึงค่อนข้างสูง แต่มิใช่เพราะพิษจากแมงมุม เพราะพิษของแมงมุมไม่ทำให้เกิดอาการหนักเช่นนี้
นพ.สุชัย กล่าวว่า แมงมุม 1 ตัว ทำให้เสียชีวิตน้อยมาก แต่ทำให้อาการหนักได้ บางสายพันธุ์แม้พิษจะรุนแรงมากกว่างู แต่ด้วยสัดส่วนของแมงมุมแล้ว ซึ่งมีขนาดเล็ก ปริมาณพิษจึงน้อยมาก ก็ไม่ทำให้เกิดพิษรุนแรง นอกจากนี้ แมงมุมแต่ละตัวปริมาณน้ำพิษไม่เท่ากัน แม้จะเป็นแมงมุมชนิดเดียวกัน แต่กัดแต่ละครั้งก็ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการมากน้อยต่างกันได้ บางรายกัดเป็นแผล บางรายก็อาจรุนแรง
- 400 views