แนวหน้า - จากข้อมูลผลวิจัยด้านนโยบายสุขภาพทำให้เห็นภาพอันน่าตกใจว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลเสียทางเศรษฐกิจเกือบ200,000ล้านบาทและสถิติกลุ่มแรงงานที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพราะดื่มแอลกอฮอล์มีมากถึง 40,000คนส่วนใหญ่อายุ30-44ปีรองลงมา15-29ปีซึ่งผู้ที่ดื่มหรือเคยดื่มจะขาดงานเพราะปัญหาสุขภาพประสิทธิภาพขณะทำงานลดลงกว่าผู้ไม่ดื่ม 1.7-5.7%

ปัญหาดังกล่าวทำให้มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส)เกิดเป็น

ที่มาของโครงการ“โรงงานสีขาวลดละเลิกเหล้า”เพื่อลงพื้นที่รณรงค์สร้างความตระหนักถึงปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาอย่างต่อเนื่องหลายปีจากนั้นจึงเริ่มเกิดการยอมรับจากผู้ประกอบการกลุ่มผู้ใช้แรงงานและประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่การขยายกิจกรรมให้ครอบคลุมในแต่ละจังหวัดให้ได้มากที่สุด

นพ.บัณฑิต  ศรไพศาล  ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลักสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)กล่าวว่าโครงการดังกล่าวสามารถช่วยประหยัดเงินลดความสูญเสียลดปัญหาทะเลาะวิวาทส่งผลดี

ต่อองค์กรทั้งเรื่องความปลอดภัยประสิทธิภาพในการทำงานสถานประกอบการหลายแห่งหันมาให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะขยายผลเพิ่มช่องทางการรับรู้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกระตุ้นให้ผู้ใช้แรงงานนายจ้าง

ผู้ประกอบการตระหนักถึงผลกระทบที่สำคัญรับรู้รับทราบกฎหมายห้ามขายห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานประกอบกิจการโรงงานมากยิ่งขึ้น

นพ.บัณฑิตกล่าวย้ำด้วยว่าเพื่อเป็นการเสริมพลังให้กับโรงงานต้นแบบบุคคลต้นแบบลดละเลิกเหล้าก่อนหน้านี้ทางสสส.และมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กับเครือข่ายสหภาพแรงงานกลุ่มนายจ้างผู้ใช้แรงงานพร้อมทั้งเปิดตัวคู่มือโรงงานสีขาวลดละเลิกเหล้าซึ่งทางมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลได้ถอดบทเรียนจากการทำงานไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว

นางสาวมณี  ขุนภักดี  หัวหน้าฝ่ายรณรงค์และเผยแพร่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลกล่าวว่าที่ผ่านมาเราได้ทำงานและลงพื้นที่พูดคุยเพื่อเก็บข้อมูลปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในโรงงานมาอย่างต่อเนื่องและนับเป็นเรื่องดีเมื่อมีกฎหมายออกมาเป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมการห้ามขายห้ามดื่มสุราในโรงงานซึ่งล่าสุดได้สำรวจความคิดเห็นผู้ใช้แรงงานต่อกฎหมายห้ามขายห้ามดื่มสุราในโรงงานจาก1,391ตัวอย่างแบ่งเป็นชาย43.9%หญิง56.1%ใน8พื้นที่ได้แก่กรุงเทพฯสมุทรปราการนครปฐม

สมุทรสาครนนทบุรีอ่างทองสระบุรีปทุมธานีระหว่างวันที่5-15 ธ.ค.2556พบว่ากลุ่มตัวอย่างทราบดีว่าแอลกอฮอล์ส่งผลเสียต่อสุขภาพประสิทธิภาพในการทำงานลดลงเกิดอุบัติเหตุในการทำงานสร้างปัญหาความรุนแรงในครอบครัวปัญหาหนี้สิน

ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่าง 85.5%ต่างเห็นด้วยว่ากฎหมายห้ามขายห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในโรงงานมีประโยชน์ทั้งต่อตัวนายจ้างและลูกจ้าง

นางสาวมณีกล่าวด้วยว่าผู้หญิงรับรู้รับทราบต่อปัญหามากกว่าผู้ชายเช่นความรุนแรงในครอบครัวปัญหาหนี้สินและแม้ว่ากฎหมายดังกล่าวบังคับใช้มานานแล้วแต่กลุ่มตัวอย่างกว่า1 ใน 4หรือ25.2%ยังไม่ทราบว่าการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ในโรงงานผิดกฎหมายเนื่องจากช่องทางประชาสัมพันธ์ยังไม่เพียงพอกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังต้องการให้ประชาสัมพันธ์ในโรงงานโดยตรงหรือทำป้ายโฆษณาในโรงงานเมื่อถามถึงหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบและเร่งประชาสัมพันธ์กฎหมายกลุ่มตัวอย่างระบุว่า22.2%สถานประกอบการโรงงาน20.6% กระทรวงแรงงาน19.2%กระทรวงสาธารณสุข13.3%กระทรวงอุตสาหกรรม 11.3% สหภาพแรงงาน

ขณะที่นายบุญมี จิตรใจผู้จัดการทั่วไปบริษัทยางโอตานิกล่าวว่าจากบทเรียนเมื่อปี2549ทางโรงงานจัดให้มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานเลี้ยงปีใหม่จนสุดท้ายต้องสูญเสียพนักงานถึง 3 คนจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับอีกทั้งภายในงานเลี้ยง

ทุกปียังพบปัญหาทะเลาะวิวาทชกต่อยกันเพราะความเมาจนต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาคอยควบคุมสถานการณ์รวมถึงลงโทษพนักงานด้วยการไล่ออกจากนั้นปี2550จึงได้เข้าร่วมโครงการโรงงานสีขาวลดละเลิกเหล้าแรกๆ ก็พบปัญหาแอบดื่ม

ก่อนเข้างานแต่จากการรณรงค์และสร้างการรับรู้รวมถึงมีกฎหมายห้ามขายห้ามดื่มในโรงงานก็ช่วยเป็นเครื่องได้มากทำให้พนักงานเข้าใจและเกิดการยอมรับสามารถปรับพฤติกรรมได้ในที่สุด

“โรงงานของเราประสบความสำเร็จในการลดละเลิกเหล้าของพนักงานได้จริงจนสามารถต่อยอดไปเป็นหอพักพนักงาน

ปลอดเหล้าพนักงานหลายคนต้องการเลิกดื่มตลอดชีวิตและเมื่อมีงานเลี้ยงพนักงานต่างรับรู้ดีว่าจะไม่มีเหล้าในงานอย่างไรก็ตามขอฝากไปถึงโรงงานอื่นๆที่ยังมีการเลี้ยงสังสรรค์มีเหล้าในงานอยากให้มองกลับมาถึงการดูแลพนักงานให้เหมือนคนใน

ครอบครัวเราเพื่อให้เขาอยู่กับเราไปนานๆเพราะพนักงานทุกคนถือเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญและมีค่าอย่าให้น้ำเมามาทำลาย”นายบุญมี กล่าว

แม้ว่าแรกๆ จะมีกระแสต่อต้านออกมาบ้างแต่เมื่อทำงานและรณรงค์สร้างการรับรู้เกิดผลดีกับแรงงานไทยคือคนดื่มหนักก็ลดปริมาณจนเลิกเหล้าแล้วยังมีเงินฝากประสิทธิภาพในการทำงานและคุณภาพชีวิตดีขึ้นจึงถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะหันมาร่วมต่อยอดเพื่อให้เกิดการขยายผลไปทั่วประเทศ

ที่มา: http://www.naewna.com