ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สสส.-ศวปถ.-เมาไม่ขับ-ภาคี ทบทวนกฎหมาย “เมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำ” พุ่งเป้าเพิ่มโทษ เสริมศักยภาพด้วยเทคโนโลยี เผยผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากดื่มแล้วขับ เฉลี่ยปีละกว่า 5 หมื่นราย มูลค่าความสูญเสีย 3.7 แสนล้านบาท เฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 มีเหยื่อจากผู้ดื่มแล้วขับ มากถึง 207 ราย   

เมื่อวันที่ 5 กันยายน ที่ห้องประชุม 201 อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศาลยุติธรรม กรมคุมประพฤติ มูลนิธิเมาไม่ขับ เครือข่ายเหยื่อเมาไม่ขับ ภาคีเครือข่ายด้านการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุเมาแล้วขับของไทย จัดกิจกรรม “ครบรอบ 2 ปี กระทำผิดซ้ำเมาแล้วขับ กับ การบังคับใช้กฎหมายของประเทศไทย” ยกระดับการลดอุบัติเหตุทางถนนจากการดื่มแล้วขับไทยร่วมกับภาคีเครือข่าย 

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า อุบัติเหตุทางถนนจาก “ดื่มแล้วขับ” เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ โดยข้อมูลสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนของไทย จากกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี 2562-2566 มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากดื่มแล้วขับ 284,253 ราย เฉลี่ยปีละ 56,850 ราย มูลค่าความสูญเสีย 3.7 แสนล้านบาท 

โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต เฉลี่ยถึง 4,519 ราย ผลกระทบสำคัญคือ “เหยื่อจากผู้ดื่มแล้วขับ” มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี เฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 มีเหยื่อจากผู้ดื่มแล้วขับ มากถึง 207 ราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 1 ราย จำเป็นต้องเร่งมาตรการตรวจวัดแอลกอฮอล์ที่ครอบคลุม และลงโทษผู้กระทำความผิดโดยเฉพาะความผิดซ้ำ สสส.ร่วมกับภาคี สร้างเครือข่ายขับเคลื่อน ทั้งในระดับนโยบาย และรณรงค์ในพื้นที่ ผลักดันข้อกฎหมายดื่มแล้วขับ และกระทำผิดซ้ำ บูรณาการทำงานทุกภาคส่วนวิเคราะห์หาสาเหตุ ที่สามารถเพิ่มการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้นได้ในอนาคต 

สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่ายถอดบทเรียน โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบาย ออกเป็น 3 ระยะ

1. ระยะสั้น ภายใน 6 เดือน ออกแบบระบบตรวจสอบและประชาสัมพันธ์ สนับสนุนให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประสานหน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรมออกแบบระบบออนไลน์ที่เชื่อมโยงกัน ตรวจสอบประวัติกระทำผิดซ้ำ ประชาสัมพันธ์ผลการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง

2. ระยะกลาง ภายใน 1 ปี ผลักดันด้านเทคโนโลยีสนับสนุนการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่ เครื่องเป่าวัดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 15,000 เครื่อง พัฒนาระบบการตรวจสอบ และยืนยันบุคคลผ่านลายนิ้วมือออนไลน์ทั่วประเทศ

3. ระยะต่อเนื่อง มากกว่า 1 ปี ผลักดันเพิ่มโทษสร้างความเกรงกลัวไม่ให้กล้ากระทำผิดซ้ำ สนับสนุนให้มีการแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 160 ตรี นำปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายที่ตรวจวัดได้ในแต่ละระดับมาเป็นบทกำหนดโทษที่ผู้กระทำความผิดได้รับ

นายสุรสิทธิ์ ศิลปงาม ผู้จัดการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า ในแต่ละปีจะมีเหยื่อจากเมาแล้วขับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงเทศกาล หลายราย สูญเสียอวัยวะ เสียโอกาสในการดำเนินชีวิตที่สำคัญ ต้องไปดำเนินการฟ้องร้องเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อเยียวยาผลกระทบที่ตนเองไม่ได้ก่อ เหยื่อหลายรายไม่ได้รับเงินเยียวยา ถึงเวลาต้องวางแนวทาง ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากดื่มแล้วขับที่จะได้รับการเยียวยาอย่างเป็นธรรม กฎหมายเมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำในปัจจุบันบังคับใช้มาไม่ต่ำกว่า 2 ปี แต่ยังไม่สามารถสร้างความเกรงกลัวให้กับ ภาคประชาชน ยังมีผู้กล้ากระทำผิดซ้ำ การเพิ่มโทษ และความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมายเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้ผู้ที่เคยกระทำผิดเมาแล้วขับ ไม่กล้าเสี่ยงและรับโทษที่รุนแรง

“การแก้ปัญหาอุบัติเหตุดื่มแล้วขับต้องเสริมด้วยระบบการจัดการ และการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้น มีเจ้าภาพหลักที่ค่อยกำกับตรวจสอบอย่างต่อเนื่องจนเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความเกรงกลัวในการกระทำผิดกฎหมาย” ประกอบด้วย 1. ไม่รอดในการจับกุมเมื่อกระทำผิด 2. ต้องถูกลงโทษหนักในทุกครั้งทุกกรณี ปัจจุบัน “กฎหมายเมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำ” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่มีการบังคับใช้มาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ปี และถึงเวลาที่ต้องยกมาตรการให้เข้มข้นเพิ่มขึ้น ด้วยระบบการจัดการและเทคโนโลยีที่มีความรวดเร็ว เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการดื่มของสังคมไทย”  นายสุรสิทธิ์ กล่าว

ดร.ชนินทร์ จักรภพโยธิน วิทยาลัยพยาบาลศาสตร์อัครราชกุมารี ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า ในการเพิ่มโทษหรือคุมประพฤติแก่ผู้ที่กระทำผิดซ้ำดื่มแล้วขับแล้วขับ ควรให้มีการนำระบบ Alcohol interlock เข้ามาเป็นเงื่อนไขการคุมประพฤติควบคู่กับการรอการลงโทษ เป็นเครื่องมือช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ขับรถสตาร์ทรถได้ หากผู้ขับมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายระดับที่สูงกว่าจะปลอดภัยในการขับรถ โดยผู้ขับขี่จะต้องเป่าลมเข้าไป ก่อนจะสตาร์ทรถทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถขับรถได้ และนำอุปกรณ์ Alcohol interlock มาใช้กับผู้ขับขี่รถยนต์โดยสาร รถขนส่ง ทุกรูปแบบที่ติดตั้งอุปกรณ์ได้ ตลอดจนให้ทำความเข้าใจบทบัญญัติกฎหมายในเรื่องการกระทำผิดซ้ำดื่มแล้วขับ เจตนารมณ์ของกฎหมายมาตรานี้ และพิจารณาให้มีระบบเปิดเผยข้อมูลประวัติกระทำผิดซ้ำออนไลน์ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบบุคคลได้

พ.ต.ท.พชร์ ฐาปนดุลย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายของตำรวจไทย เพิ่มความเข้มงวด และ จับกุมผู้กระทำผิดเมาแล้วขับมาอย่างต่อเนื่องเห็นได้จากจำนวนคดีผู้กระทำผิดเมาแล้วขับที่สูงเพิ่มขึ้นทุกปี แต่อย่างไรก็ดี ก็ต้องมีการพัฒนาระบบการจัดการ เครื่องมือ อุปกรณ์ ระบบฐานข้อมูลเชื่อมโยง เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และผู้ที่กระทำผิดเมาแล้วขับ ที่เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องเช่นกัน 

นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า สำนักงานคุ้มครองสิทธิ และช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุด ทำหน้าที่ในการช่วยเหลือเหยื่อเมาแล้วขับในการเรียกร้องความเป็นธรรมตามคำสั่งศาล ซึ่งมีหน่วยงานอยู่ทั่วประเทศ พร้อมทำงานสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในส่วนของกระบวนการในการพิจารณาคดีกระทำผิดซ้ำ ต้องมีการหารือร่วมกันเพื่อกำหนดกระบวนการที่ชัดเจน และไม่ปล่อยให้คนที่กระทำผิดซ้ำ หลุดออกจากการพิจารณาคดี และสิ่งสำคัญต้องเร่งสร้างเรื่องนี้ให้เป็น “สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม”

คุณพวงทิพย์ นวลขาว ผู้อำนวยการกองพัฒนาการคุมประพฤติ กรมคุมประพฤติ กล่าวว่า ในแต่ละปี มีผู้ที่พ้นการคุมประพฤติ กลับเข้ามาในระบบอยู่พอสมควร ถึงแม้จะไม่มาก เมื่อเทียบกับ จำนวนสัดส่วนผู้ที่ถูกคุมประพฤติเมาแล้วขับทั้งหมด แต่อย่างไรก็ดี ตัวเลข ก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต้องเร่งเพิ่มโทษและสร้างความเกรงกลัว ให้ไม่กล้ากระทำผิดซ้ำ ซึ่ง กรมคุมประพฤติ พร้อมสนับสนุนด้านข้อมูลเพื่อให้ศาลนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินคดีกระทำผิดซ้ำ และขอเน้นย้ำว่า “ดื่มแล้วขับ ถูกจับคุมประพฤติ”