บางกอกทูเดย์  - แม้ว่าจะมีเสียงทักท้วงอย่างมาก โดยเฉพาะจากสมาคมการค้ายาสูบไทย ว่าแนวคิดของกระทรวงสาธารณสุข ในยุคที่มี น.พ. ประดิษฐ สินธวณรงค์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ ในเรื่องของซองบุหรี่และคำเตือน รวมทั้งการที่ไม่เปิดโอกาสในคนในธุรกิจได้มีโอกาสร่วมแสดงความคิดเห็น

อ้างว่าเป็นอำนาจของกระทรวงที่สามารถทำได้!!!

จนทำให้ภาคธุรกิจและชาวพืชไร่ยาสูบไม่พอใจ ซึ่งจะกระทบไปถึงคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยด้วยแต่นพ.ประดิษฐ ก็ถือว่าเป็นเด็กสายตรงของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงจะทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องแคร์ความรู้สึกของภาคธุรกิจ อ้างแค่ว่าเป็นอำนาจตามกฎหมาย

ทั้งๆ ที่คำเตือนต่างๆ นั้น เป็นมุมมองของอีกภาคส่วน โดยเฉพาะในส่วนของผู้ประกอบการธุรกิจ ในส่วนของเกษตรกรไร่ยาสูบ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีจำนวนเป็นแสนๆ ครอบครัว การมองข้ามเหตุผล โดยไม่สนใจความรู้สึกเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในทางการเมือง

ที่สำคัญวันนี้ หนึ่งในเหตุผลหรือคำทักท้วงของสมาคมการค้ายาสูบไทย ในเรื่องของซองบุหรี่ได้มีผลที่เกิดขึ้นจริงในเชิงลบให้เห็นแล้วจากผลวิจัยในออสเตรเลีย ว่าไม่เพียงแต่จะทำให้บรรดาธุรกิจร้านค้าได้รับผลกระทบอย่างหนักแล้ว

ยังกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้บุหรี่เถื่อนเติบโตขยายตัวมากขึ้นด้วย

โดยผลวิจัยผลกระทบร้านค้าปลีกรายย่อยในออสเตรเลียจากการใช้ซองบุหรี่แบบเรียบ หรือ The Impact of Plain Packaging on Australia Small Retailers1 จัดทำโดยบริษัททำวิจัย Roy Morgan ซึ่งได้รับการเผยแพร่โดยสมาคมร้านสะดวกซื้อในประเทศออสเตรเลีย (Australian Association of Convenience Stores-AACS) แสดงให้เห็นถึงการรับรู้ของร้านค้าปลีกรายย่อยในออสเตรเลียว่า

การค้าบุหรี่ผิดกฎหมายนั้นมีอัตราที่สูงขึ้น โดยเพิ่มขึ้นตั้งแต่เริ่มใช้กฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบ โดย 3 ใน 10 เผยว่ามีลูกค้ามาสอบถาม เพราะต้องการซื้อบุหรี่ผิดกฎหมาย

นอกจากนั้น ผลวิจัยนี้ยังเผยถึงผลกระทบต่างๆ ต่อร้านค้าปลีกรายย่อยต้องรับเคราะห์จากกฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบ ได้แก่

2 ใน 3 ของร้านค้ารายย่อยกล่าวว่าซองบุหรี่แบบเรียบส่งผล กระทบด้านลบต่อธุรกิจของพวกเขา

ร้อยละ 78 ของร้านค้าประสบปัญหาในการใช้เวลาที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่สามารถซื้อบุหรี่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และร้อยละ 62 ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นเพื่อสื่อสารกับลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาสูบ

ร้อยละ 62  ของร้านค้าขนาดเล็กเกิดความสับสนเพิ่มขึ้นจากการขายบุหรี่ให้แก่ลูกค้าที่สามารถซื้อได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และร้อยละ 65  พบว่าอัตราที่ลูกจ้างในร้านขายผลิตภัณฑ์ผิดแบบให้แก่ลูกค้านั้นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความยากในการจดจำและแยกแยะผลิตภัณฑ์บุหรี่แต่ละยี่ห้อ

ร้อยละ 34  ของร้านค้าพบว่าความถี่ที่ลูกค้าพยายามคืนสินค้านั้นมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากการที่พวกเขาได้รับผลิตภัณฑ์ผิดแบบไป

และที่สำคัญ ร้านค้าขนาดเล็กกว่าร้อยละ 44  ระบุว่าซองบุหรี่แบบเรียบนั้นส่งผลกระทบด้านลบต่อระดับการบริการให้แก่ลูกค้าที่ไม่ได้บริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบ

นางวราภรณ์ นะมาตร์ ผู้อำนวยการ สมาคมการค้ายาสูบไทย ได้ให้ความเห็นว่า ผลวิจัยในประเทศออสเตรเลียได้แสดงให้เห็นว่า ร้านค้าเป็นฝ่ายที่ต้องรับเคราะห์จากกฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบหนักที่สุด ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วยตนเอง เจอปัญหาความสับสนของลูกค้า การจัดการสินค้าในสต็อก รวมทั้งต้องฝึกอบรมพนักงานเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น ประเทศไทยต้องพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้ร้านค้าปลีกกว่า480,000 รายในประเทศไทยต้องประสบปัญหาเหมือนที่ออสเตรเลีย

อีกทั้งการบังคับใช้ซองบุหรี่แบบเรียบยังแสดงให้เห็นถึงปัญหาบุหรี่เถื่อนที่เพิ่มขึ้นซึ่งไม่ช่วยในการพยายามในการลดอัตราการบริโภคบุหรี่แต่อย่างไร หนำซ้ำจะทำให้รัฐต้องเสียรายได้ทางภาษีที่ควรจะได้มาใช้พัฒนาประเทศ

"เห็นได้ชัดเจนว่ากฎหมายนี้ไม่มีผลดีกับฝ่ายใดเลย" นางวราภรณ์ระบุ

นอกจากนั้น ผลวิจัยผลกระทบร้านค้าปลีกรายย่อยในออสเตรเลียจากการใช้ซองบุหรี่แบบเรียบ ยังสอดคล้องกับผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ค้าปลีกยาสูบในประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดย บริษัท อิปซอสส์ (ไทยแลนด์) โดยผลสำรวจพบว่า กว่าร้อยละ 82 ของ กลุ่มผู้ค้าปลีกเชื่อว่ามาตรการซองบุหรี่แบบ

เรียบนี้จะส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมากต่อธุรกิจของพวกเขา

ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงานในร้านค้าในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งสินค้า การจัดเก็บสินค้า และการให้บริการลูกค้าจะมีความซับซ้อนและยุ่งยากมากขึ้น

รวมทั้งเป็นการกระตุ้นการลักลอบค้าบุหรี่เถื่อนในประเทศไทยมากขึ้น

"กฎหมายเพิ่มขนาดภาพคำเตือนซองบุหรี่ 85% ของไทย นับว่าคล้ายคลึงกับกฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบ ซึ่งกฎหมายที่สุดโต่งทั้งสองแบบต่างมีผลกระทบต่อร้านค้าปลีกโดยตรง ที่ผ่านมาในประเทศไทยขาดการศึกษาจากทางฝั่งร้านค้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าใจสถานการณ์ในการขายของหน้าร้าน ผลวิจัยของออสเตรเลียครั้งนี้ถือว่าได้ตอกย้ำถึงปัญหาที่สมาคมการค้ายาสูบไทยพยายามจะสื่อสารให้ทุกฝ่ายได้รับทราบถึงผลกระทบของฝั่งร้านค้าปลีกได้อย่างดี" นางวราภรณ์ กล่าวสรุปปัญหาก็คือ น.พ.ประดิษฐ จะยังคิดว่าการใช้อำนาจของกระทรวง โดยไม่เปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นใดๆ เลยนั้น ยังเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดอยู่อีกหรือไม่ ในเมื่อมีผลวิจัยที่ชัดเจนแล้วว่าเกิดผลกระทบขึ้นมาจริงๆ

หรือคิดเพียงแค่ว่า ไม่ว่าจะดันทุรังทำอะไร ก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรได้ เพราะถือเป็นหนึ่งในเด็กสายตรง นายกฯ ยิ่งลักษณ์!!!

ก็คงต้องฝากไปถึงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ว่าบทเรียนความผิดพลาดครั้งใหญ่ของพรรคเพื่อไทยกรณีของการดึงดันของพรรคเพื่อไทยที่จะผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง ฉบับสุดซอย โดยที่ไม่ได้มองถึงความรู้สึกของสังคมโดยรวม ไม่ให้ความสำคัญกับมุมมองของประชาชน

คิดตื้นๆ เพียงว่า มีอำนาจตามกฎกติกาที่จะออกกฎหมายได้ ฉะนั้นจะทำอย่างไรก็ได้

แล้วผลที่ออกมาเป็นอย่างไร...

ขนาดที่ว่าสามารถผลักดันตามกฎหมาย ตามอำนาจที่มีจนผ่านวาระ 3 ในสภาได้ก็จริง แต่สุดท้ายเมื่อเจอพลังของประชาชนทุกภาคส่วนเข้าจริงๆ

ก็ต้องถอยกรูดไม่เป็นท่า

ขนาดยอมถอนกฎหมายนิรโทษกรรมทุกฉบับแล้ว ให้สัตยาบรรณพรรคร่วมรัฐบาลก็แล้ว แต่ก็ยังหยุดม็อบไม่ได้

แถมม็อบสามารถใช้ความชอบธรรมจากความผิดพลาดของพรรคเพื่อไทยก่อกระแสม็อบที่เลยเถิดให้เกิดขึ้นได้ และลากยาวมาจนวันนี้

ที่สำคัญกล้ายกระดับขับไล่รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์แล้วด้วยซ้ำ

อยากจะให้เกิดปรากฏการณ์พลาดซ้ำรอยขึ้นมาอีกหรืออย่างไร

หรือว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ และ น.พ.ประดิษฐ ยังคิดว่าประเทศชาติบ้านเมืองนี้ม็อบยังมีไม่มากพอใช่หรือไม่???

หรือคิดว่าในเสียงสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเมื่อตอนเลือกตั้งใหญ่ กรกฎาคม 2554 นั้น ที่ได้มาทั้งสิ้น 15 ล้านเสียง ไม่ได้มีเสียงของเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ เสียงของผู้ประกอบการร้านค้า เสียงของสมาคมการค้ายาสูบไทย เลยแม้แต่เสียงเดียวใช่หรือไม่

จึงไม่ได้แยแสความรู้สึกของคนกลุ่มนี้เลย

หรือคิดว่าเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ กับผู้ประกอบการค้ายาสูบ ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยและพรรคเพื่อไทยไม่ได้สนใจที่จะได้คะแนนเสียงจากคนหลายแสนคนตรงนี้

ถ้าเป็นอย่างนั้น นพ.ประดิษฐ์ ก็พูดออกมาให้ชัดๆ ไปเลย เพื่อที่บรรดาคนกลุ่มนี้เขาจะได้ตัดสินใจได้ว่าอนาคตจะเลือกพรรคการเมืองใด เพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์ หรือพรรคการเมืองไหนที่สนใจและยอมรับฟังเหตุผล

หากสุดท้ายแล้ว บรรดาเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ กับผู้ประกอบการค้ายาสูบ พากันไม่เลือกพรรคเพื่อไทยจริงๆก็ไม่ต้องโทษใครเลย นอกจากคนชื่อ"ประดิษฐ สินธวณรงค์"

และคนที่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยเต็มๆ ก็คือ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ นั่นเอง

เพราะนายประดิษฐ คือ เด็กสายตรงนายกฯ ที่เลือกมาเอง

กี่ครั้ง กี่ครั้ง ก็พังเพราะคนใกล้ตัว พลาดเสียหายก็เพราะคนเชลียร์นี่แหละ แต่ก็ไม่เคยเข็ดเสียที

ใช่ครับพี่... ดีครับผม... เหมาะสมครับนาย... แล้วก็ "ฉิบหายแล้วครับท่าน" ในที่สุด

ที่มา: หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ วันที่ 21 - 22 พ.ย. 2556--