ภายหลังจากถูกปลดออกจากตำแหน่ง ผอ.องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ดูเหมือน นพ.วิทิต อรรถเวชกุล จะไม่ค่อยพูดให้ความเห็นอะไรมากนัก แต่ในวันที่ 23 พ.ค. 2556 ไปรับมอบดอกไม้ให้กำลังใจจากเจ้าหน้าที่และลูกจ้างของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) "หมอวิทิต" ได้เผยความในใจแบบหมดเปลือก พร้อมทั้งร้องเพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" เรียกน้ำตาจาก นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช.และเจ้าหน้าที่บางคน
"หมอวิทิต" บอกว่า ความจริงแล้วทุกอย่างก็ต้องจบสักวันหนึ่ง จบด้วยสัญญา จบด้วยอายุขัย ยกตัวอย่างพี่หงวน (นพ.สงวน นิตยารัมพงศ์ อดีตเลขาธิการ สปสช.) หมดเวลาก่อนในวัยที่พวกเราเสียดายมาก แต่วันนี้ผมยังอยู่ ชีวิตยังอยู่ ทุกคนมาให้กำลังใจ มอบดอกไม้ ส่งกำลังใจกัน เป็นเรื่องที่ผมได้รับตอบแทนจากสิ่งที่ผมทำงานมา 30 ปี ก็คุ้มค่ามากสำหรับชีวิต เราคงไม่ต้องการเงินทองอะไรมากกว่านี้ เดี๋ยวนี้ผมก็ทานได้น้อยลง จะทานเยอะหมอก็ห้าม อย่างอื่นไม่มีความหมายแล้ว ดังนั้นชีวิตที่เราร่วมกันต่อสู้อุปสรรค พวกมารหรือพวกอยุติธรรมทั้งหลาย ผมคิดว่าเขาเหมือนกับเชื้อโรค เราก็ต้องอยู่กับเชื้อโรคให้ได้ เราจะอยู่อย่างมีภูมิต้านทานอย่างไร เพราะในตัวเราก็แหล่งผลิตเชื้อโรคในลำไส้อะไรต่าง ๆ
ผมคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียน แต่เป็นบทเรียนเก่า ๆ ซึ่งเกิดซ้ำซาก เกิดที่กระทรวงนั้น เกิดที่รัฐวิสาหกิจนี้ ไม่มีอะไรได้เรียนรู้ใหม่ ๆ เพียงแต่เขาทำให้พวกเราเสียโอกาส เสียเวลาไปนิดหน่อย แต่ผมเชื่อว่าทุกคนเรียนรู้บทเรียนนี้มาพอสมควรแล้ว ก็อย่าเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้ ด้วยการเสียใจ หลังจากเรามาพบปะกันวันนี้เราก็มีความสุข ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์หลังจากนาทีนี้ดีลีทเลย ไม่มีเรื่องนี้ในสมอง เราทำเรื่องสิ่งดี ๆ ไปข้างหน้าดีกว่า
คนที่ใช้อำนาจแล้วอยู่ด้วยความไม่ยุติธรรม ไม่ได้ทำเพื่อวัตถุประสงค์เพื่อทุกข์สุขของประชาชนจริง ๆ ปีนี้เราอายุจะ 60 กันแล้ว เราได้รับบทเรียนว่าไม่เคยมีความยั่งยืน รัฐบาลไหนก็ได้ไม่มีความยั่งยืน ถ้าเขาไม่ได้จริงใจกับประชาชน คำว่ากู้ด อินเทนชั่น แบด อินเทนชั่น ก็ใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจริงใจกับประชาชนหรือไม่ ประสบการณ์ของผม หรือหมอประทีปก็ดีเห็นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ด้วยสัญชาตญาณของเขา ๆ ต้องทำ เขาเกิดมาเพื่อล่าก็ต้องล่า เราเกิดมาเป็นเหยื่อ เราก็หนีไม่รอดก็เป็นเหยื่อไปบ้าง เราไม่ยึดติด ผมคิดว่าความรัก ความผูกพันของคนที่มีแนวร่วมอุดมการณ์เดียวกันได้รวมตัววันนี้ ผมรู้สึกประทับใจมาก คิดว่าเป็นสิ่งดี ๆ งาม ๆ ที่อยากให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาช่วยสานต่อ บางครั้งตายหนึ่งก็เกิดเป็นสิบเป็นร้อย สิ่งดี ๆ งาม ๆ เกิดขึ้นมากมาย
ครั้งหนึ่งเคยมีพวกเราใน สปสช.คุยกับผม ถามว่าระหว่างตามใจผู้มีอำนาจ กับอยู่กับพวกเราแบบมีอุดมการณ์ แต่ไร้ซึ่งเสถียรภาพ ไร้ซึ่งโอกาส ผมจะเลือกอะไร ผมตอบอย่างไม่ลังเลใจว่าผมเลือกที่จะอยู่กับพวกเรา (เสียงปรบมือ) ไม่เลือกตามใจผู้มีอำนาจประเดี๋ยวประด๋าว เพื่อรักษาเก้าอี้ รักษาตำแหน่ง ถ้าจะให้ผมมีตำแหน่งโน้นตำแหน่งนั้นแล้วให้ผมทำเรื่องไม่ถูกต้อง ความผิด และความเสียใจ ถ้าเราเกิดพลาดทำไป มันจะตามไปจนผมหมดลมหายใจเช่นกัน
ใครบอกว่าผมแพ้ ใครจะบอกว่าใครชนะ ผมก็คิดว่าเกมนี้ยังไม่จบ ผมพูดเสมอครับ สมัยเด็ก ๆ มีคนมาบอกผมว่า เฮ้ยแกแพ้คนนั้น แก้สอบแพ้คนนี้ ทำไมแพ้เรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็ต้องเพียรพยายาม ผมมีคำตอบให้ตัวเองเสมอ ถ้าดินยังไม่กลบหน้ายังไม่รู้แพ้รู้ชนะ เพราะฉะนั้นหายใจกันยาว ๆ ดูกันนาน ๆ ว่าบั้นปลายสุดท้ายกรรมที่ใครก่อ กรรมที่เราก่อ หรือเขาก่อ หรือใคร ๆ ก่อก็ตาม มันก็ต้องออกมาอย่างนั้น ปลูกถั่วก็ต้องได้ถั่ว ปลูกผักกาดก็ต้องได้ผักกาด เป็นอย่างอื่นไม่ได้
วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นผมต้องโทษตัวผมเองว่ายังทำดีไม่พอ ถ้าเราทำดีพอเขาก็คงจะทำอะไรไม่ได้ บางคนโทษว่าเป็นพรหมลิขิต เป็นกรรมเก่าสุดแล้วแต่ แต่ผมสรุปให้ตัวผมเองอยู่อย่างเดียวว่ายังทำดีไม่พอ โจทย์ 10 ข้อ มี 2-3 ข้อที่ยาก คุณทำไม่สำเร็จ หรือทำเสร็จช้าก็แล้วแต่ แม้ว่าคนอื่นจะทำไม่สำเร็จเหมือนกัน แต่เขาให้สอบผ่าน ครูประเภทนี้จะเป็นครูเราได้หรือเปล่า เราก็ไม่ได้ยึดติดยึดมั่น ผมคิดว่าเราต้องเพียรทำดีมากกว่านี้
หลายคนเป็นห่วงว่าแล้วผมจะไปทำอะไร ผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ สปสช.ตามพี่หงวนมา ตามพี่ ๆ มา พวกเราไม่ได้มาเพราะเงินเดือนอย่างเดียว ไม่ได้มาเพราะตำแหน่ง เพราะตำแหน่งที่ สปสช.ขึ้นปลัดกระทรวงไม่ได้อยู่แล้ว พวกเรามาเพราะมีความมุ่งมั่นที่จะดูแลสุขภาพของคนไทยทุกคนให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ดังนั้นเราต้องภูมิใจว่าเรามาถึงจุดที่ 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่พี่หงวนสร้างไว้แล้วเราสานต่อ เราทำดีที่สุดแล้ว หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มันยังบกพร่อง ผมก็คิดว่ามันก็เป็นโจทย์ที่เราจะพัฒนาแก้ไขไปในอนาคต
ผมก็จะไปตามเส้นทางที่ผมอยากเดิน แต่สุดท้ายก็ยังเป้าหมายเดียวกัน วันหนึ่งผมคงจะมีโอกาสกลับมาร่วมกับพวกเราในด้านหนึ่งด้านใด แต่ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ คุณภาพชีวิตคนไทย สุขภาพคนไทยต้องดีขึ้น หัวใจพวกเราเป็นหนึ่งเดียวอยู่แล้ว ขอบคุณทุกคนที่จัดงานเล็ก ๆ แต่มีความหมายมากสำหรับผมตั้งแต่ออกมาก็มีองค์กรต่าง ๆ ให้กำลังใจมากมาย ด้วยความทันสมัยของไอที ทุกคนก็มาทางเฟซบุ๊ก เอสเอ็มเอส มากมายก็ชื่นใจ ผมก็จะพยายามอยู่เบื้องหลัง แถมอีกนิดเดียว ผมอยู่บ้านแพ้วอยู่ดี ๆ มาอยู่ทำไมก็ไม่รู้องค์การเภสัชกรรม
ตอนอยู่บ้านแพ้วซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชน นิสัยของพวกเราอยู่นิ่ง ๆ ไม่เป็น คิดนอกกรอบ คิดโน่นคิดนี่ จะทำให้ชาวบ้านมีโอกาสมากขึ้น ทำจนกระทั่งบ้านแพ้วออกนอกระบบ ถือว่าจบงานชิ้นใหญ่ในชีวิตงานหนึ่งของการเป็นหมอโรงพยาบาลชุมชน ช่วงนั้นตำแหน่ง ผอ.อภ.ว่างพอดี ความจริงผมอยู่บ้านนอกไม่ค่อยรู้เรื่องกระทรวงเท่าไหร่ ก็มีคนใน สปสช.ส่งข่าวผมว่าตำแหน่งว่าง ที่บ้านแพ้วผมก็เหลือเวลา 2 ปีเหมือนตอนนี้เป๊ะ ก็เลยเชื่อคนกรุงเทพฯ (หัวเราะ) เฮ้ยมาสมัคร มาช่วยกันทำโน่นทำนี่ ผมก็มาสมัครและบังเอิญได้ เพราะตอนนั้นเป็นรัฐบาลปฏิวัติ ปี 2549-2550 คนที่จะสมัครเขารู้ว่าปีหน้า ถ้ารัฐธรรมนูญใหม่ออก รัฐบาลใหม่คงเช็กบิลแน่ มันเหลือผมมาได้ยังไงก็ไม่รู้ตั้ง 6 ปี
ผมกับ สปสช.มีอะไรก็ปรึกษาหารือพูดคุยกัน ร่วมงานกัน ความรู้สึกที่ดีต่อกันยั่งยืนมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย คือ เมื่อไหร่ที่ต่อสู้เพื่อคนจน มีอุปสรรคเยอะมาก มันแปลก ต่อสู้ให้คนรวยไม่ยาก ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงด้วยดี แต่ต่อสู้ให้คนจนยากมาก เพราะฉะนั้น สปสช.ทุกคนก็ถูกทดสอบเหมือนกันว่า ถ้าเราจะดูแลคนจน คนไร้โอกาสมันยาก และมีอุปสรรคด้วย
"พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาว ส่องฟากฟ้า เด่นพราวไกลแสนไกล ดั่งโคมทอง ส่องเรืองรุ้งในหทัย เหมือนธงชัย ส่องนำจากห้วงทุกข์ทน พายุฟ้า ครืนข่มคุกคาม เดือนลับยาม แผ่นดินมืดมน ดาวศรัทธา ยังส่องแสงเบื้องบน ปลุกหัวใจ ปลุกคนอยู่มิวาย ขอเยาะเย้ย ทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย แม้นผืนฟ้า มืดดับเดือนลับมลาย ดาวยังพราย ศรัทธาเย้ยฟ้าดิน ดาวยังพรายอยู่จนฟ้ารุ่งราง"(เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา ประพันธ์โดยจิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งหมอวิทิตนำมาขับร้องภายหลังพูดความในใจจบลง)
--เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 26 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)--
- 44 views