กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล ยังคงถูกจับตามองว่าเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งการที่ไทยได้เปรียบเป็น Medical Hub ความเชี่ยวชาญของบุคลากร และค่ารักษาพยาบาลที่ถูกเมื่อเทียบกับต่างประเทศ จึงทำให้หลายโรงพยาบาลต้องสร้างจุดเด่น เสริมความแข็งแกร่ง และปิดจุดอ่อน ทั้งการขยาย ธุรกิจ ซื้อกิจการ หาพันธมิตร หรือแม้แต่ยอมควบรวมกิจการเพื่อลดความเสียเปรียบจากคู่แข่ง ก่อนที่จะก้าวมายืนอย่างแถวหน้าในตลาดระดับเอเชีย และตลาดโลก
ความท้าทายตรงนี้เองเป็นโจทย์ใหญ่ให้กับ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ที่ต้องฝ่ากระแสการแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อรักษาตำแหน่ง ที่ นายแพทย์สิน อนุราษฎร์ ผู้อำนวยการด้านการแพทย์กลุ่ม ลั่นว่า BH อยู่ในระดับชั้นนำของอาเซียนเรียบร้อยแล้ว
"กลุ่มโรงพยาบาล มี 3 กลุ่ม กลุ่มแรก Community Hospital ดูแลคนไข้ทั่วๆ ไป กลุ่มสอง Secretary Center ดูคนไข้ทั่วไปมีความหลากหลายแต่ก็ยังไม่ครบสาขาวิชาการแพทย์ และกลุ่ม สาม เป็นโรงพยาบาลรวมศูนย์ดูแลครบทุกสาขาวิชา รักษาทุกอย่างของอวัยวะ ซึ่ง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อยู่ในกลุ่มนี้ เป็นผลมาจากการตั้งเป้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของอาเซียน ขณะนี้ก็เป็นหนึ่งในชั้นนำของอาเซียนได้สมบูรณ์"
การันตีจากยอดผู้ป่วยในที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ธุรกิจจะต้องเผชิญความเสี่ยงทั้งเหตุการณ์น้ำท่วมหรือ ทางการเมือง แต่การเติบโต ทางรายได้ก็ยังรักษาไม่ให้ต่ำกว่า 10% ตามเป้าหมายมาโดยตลอด จนทำให้ต้องมีการขยายธุรกิจเพื่อรองรับกับการเติบโตดังกล่าว ด้วยการผุด 2 โปรเจค ลงทุน 3,000 ล้านบาท ด้วยกระแสเงินสดที่มีอยู่ในมือสูงถึง 5,000 กว่าล้านบาท โปรเจคแรกจะมีการขยายพื้นเดิมที่มีอยู่ บริเวณสุขุมวิทซอย 3 ให้บริการเพิ่มอีก 4 ชั้น เพิ่มห้องตรวจโรค 60 ห้อง จากเดิมมีอยู่แล้ว 200 ห้อง จำนวนเตียงอีก 50 เตียง พร้อม เพิ่มศูนย์รักษาตา ศูนย์รักษาโรคไขข้อ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ อีกโปรเจคใหญ่กับการลงทุนในที่ดินที่มีอยู่แล้วบริเวณสุขุมวิทซอย 1 และเพชรบุรี จะมีการเพิ่มจำนวนเตียงอีก 150 เตียง ซึ่งจะทำให้ BH มีเตียงรองรับผู้ป่วยในสูงถึง 700 เตียง ภายในอีก 4 ปีข้างหน้า การตะลุยลุยลงทุนอย่างหนักมาพร้อมกับขยับเป้าหมายการเติบโตรายได้ จากปกติขั้นต่ำที่ 10 % เป็น 15-16 % เริ่มตั้งแต่ปี 2556 ที่สำคัญอัตรามาร์จินต้องทรงตัวที่ระดับ 20 % เพื่อรักษากำไร การตั้งเป้าเติบโตที่มากขึ้นก็ยัง สอดคล้องกับการที่ต่างชาติเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ในไทยอีกด้วย ทั้งที่เดิมพอร์ตผู้ป่วยต่างชาติไม่ได้สูงมาก เพราะนโยบายหลักของบำรุงราษฎร์ ต้องการรักษาผู้ป่วยคนไทย ที่ออกไปรักษาตัวต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ยุโรป สหรัฐอเมริกา แต่เมื่อการแพทย์ของไทยไม่ได้ด้อยกว่าประเทศที่ว่ามา BH เห็นเป็นช่องทางที่จะเพิ่มสถานที่พยาบาลให้มีความสะดวกต่อคนไทยมากขึ้น แต่กลับกลายเป็นคนต่างชาติก็เข้ามาใช้บริการด้วยเช่นกัน เฉพาะบำรุงราษฎร์ มีผู้ป่วยต่างชาติ 45% หรือ 4.3 แสนคนต่อปี หากนับรวมผู้ป่วยคนไทย สูงถึง 1.3 ล้านคนต่อปี มากกว่าประเทศสิงคโปร์ ทั้งเกาะที่มีผู้ป่วย 3 แสนคนต่อปี
"จุดประสงค์ของเราต้องการเป็น รพ.ศูนย์เอกชนระดับชั้นนำของอาเซียน ด้วยการตั้งเป้ารองรับและรักษาคนไทย ไม่ให้ต้องไปรักษาในต่างประเทศ แต่เมื่อค่ารักษาที่ถูก และบริการที่ดีเป็นผลพลอยได้ทำให้ต่างชาติเข้ามาใช้บริการด้วย จนทำให้ทุกวันนี้เป็นธุรกิจ World Reader ของไทยไปแล้ว"
แม้จะมีการขยายงานอย่างหนัก ในปีนี้ แต่ นพ.สิน ยังเอ่ยปากว่ายังไม่เพียงพอกับปริมาณคนไข้ที่เพิ่มขึ้น ยิ่งจำนวนแพทย์ที่ปัจจุบันมีอยู่แล้ว 200 คน ก็ยังแทบไม่เพียงพอเพราะมีผู้ป่วยรอรักษาอยู่เป็นจำนวน มากจึงทำให้ต้องมีแผนธุรกิจสำรองอีก 2-3 แผน ทั้งการเปิดตัวศูนย์อบรมวิชาชีพการแพทย์เพื่อขยายบุคคล ที่มีความสำคัญต่อธุรกิจแต่นับวันจะขาดแคลนลงทุนที รวมทั้งแผนการเพิ่มแบนด์โรงพยาบาล ลงไปเล่นในตลาดกลาง จากตลาดพรีเมียมที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จับจองอันดับต้นในตลาดอยู่แล้ว
การขยายลงไปยังแบรนด์อื่น โดยไม่มีการขยายเป็น บำรุงราษฎร์ สาขา 1 หรือ 2 เหมือนโรงพยาบาลอื่น เพราะไม่ต้องการให้เกิดการแข่งขันกันเอง การบริหารทำได้ยาก หากสร้างแบนด์ใหม่จะเป็นการเข้าไปขยายตลาดระดับกลางมากขึ้น ซึ่งเบื้องต้นวางคอนเซปต์ไว้แล้วจะเป็น รพ.รวมศูนย์ แต่ในราคาที่ลดลง ซึ่งยังต้องใช้ระยะเวลา ในการศึกษาแผนการตรงนี้ก่อน นอกจากการเติบโตเพื่อก้าวไปข้างหน้าของรพ.บำรุงราษฎร์ ที่จะเห็นแล้ว การมองหาดีลซื้อกิจการโรงพยาบาลทั้งในประเทศและต่างประเทศก็เป็นอีก ประเด็นที่ทาง กลุ่มยังไม่ทิ้ง แต่มีเงื่อนไขสำคัญว่าต้องมีอำนาจในการเข้าไปบริหารร่วมด้วยไม่ใช่เข้าไปลงทุนเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาก็มีการขายเงินลงทุนในบริษัทโรงพยาบาลที่ถือ ออกไป (ขายหุ้นบริษัท บางกอก เชน ฮอนปิทอล) จากนโยบายบริหารไม่สอดคล้อง ดังนั้นหากจะซื้อกิจการจริงก็ให้น้ำหนักมองหาทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเม็ดเงินในส่วนการลงทุนอย่างการซื้อกิจการยังสามารถใช้กระแสเงินสดได้โดยไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนภายในเร็วๆนี้
"นโยบายไม่ได้มองคู่แข่งทำอะไร ถ้าโปรดักท์ดี คนไข้ก็จะเห็นเอง และไม่ห่วงเลยว่าหากเปิดตลาดอาเซียน เพราะวันนี้มีโอกาสมากขึ้น จากการที่มีตัวแทนอยู่ทุกประเทศในแทบนี้ ทำให้การส่งต่อคนไข้การเดินทางง่ายเพราะไม่ต้องขอวีซ่าแล้วเป็นโอกาสของบำรุงราษฎร์มาก" หากถามถึงผลตอบแทนในรูปของอัตราการจ่ายปันผลจากนี้ไป ท่ามกลาง การเติบโต นพ.สิน ต้องยอมรับว่า ทำได้เพียงแค่ทรงตัวระดับเท่าเดิม เพราะต้อง มีการลงทุนและขยายธุรกิจต่อเนื่อง แต่ ยังการันตีจะรักษาการจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นเท่าเดิม แต่อนาคต น่าจะกลายเป็นหุ้น Growth Stock มากขึ้น รวมไปถึงทิศทางราคาหุ้นส่วนตัวแล้ว ยังมองไม่ได้สะท้อนในราคาหุ้นทั้งหมด เมื่อเทียบกับอัตรากำไรต่อราคาปิดต่อหุ้น(P/E) อยู่ที่ 21 เท่าเทียบกับกลุ่มโรงพยาบาลด้วยกัน อยู่ที่ 25 เท่า ยังคอมเฟิร์มว่าต่ำกว่ากลุ่ม และมีโอกาส มากในอนาคต
ผู้เขียน : นลินา เริ่มรู้ , twitter@NANA_KTTV
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2556
- 5 views