กสม.ส่งหนังสือถึง “พิพัฒน์” จี้ประกันสังคมยกเลิกแนวปฏิบัติไม่จ่ายเงินสงเคราะห์ทายาทผู้ประกันตน แนะยึดคำพิพากษาศาลษาศาลแรงงาน ตีความ “บุตร” ครอบคลุมบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่เป็นบุตรตามความเป็นจริง 

 

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. น.ส.สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า กสม. ได้พิจารณากรณีสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ปฏิเสธการจ่ายเงินสงเคราะห์และเงินบำเหน็จชราภาพของผู้ประกันตนซึ่งถึงแก่ความตายให้กับเด็กหญิงซึ่งเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่เป็นบุตรตามความเป็นจริงของผู้เสียชีวิต โดยเด็กหญิงและมารดาต้องยื่นฟ้องสปส.และคณะกรรมการอุทธรณ์ ต่อศาลแรงงานภาค 7 เพื่อให้ได้รับเงินสงเคราะห์ตามมาตรา 73 (2) แห่งพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2558 ต่อมา แม้ว่าศาลแรงงานภาค 7 จะมีคำพิพากษาว่า “บุตร” ในพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 หมายถึงบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายและบุตรตามความเป็นจริงด้วย และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้พิพากษาเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลแรงงานภาค 7

แต่สปส.กลับมีหนังสือแจ้งเวียนที่ รง 0629/ว95 ลงวันที่ 15 ก.ค. 2567 ว่า คำพิพากษามีผลผูกพันเฉพาะราย และให้ตีความคำว่า “บุตร” หมายถึงบุตรชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น หากจะเปลี่ยนแปลงแนวทางการวินิจฉัยจ่ายประโยชน์ทดแทนได้ต้องมีคำพิพากษาที่พิจารณาพิพากษาคดีจนเป็นแนวบรรทัดฐาน 

กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากการรวบรวมข้อมูลของสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ระหว่างปี 2565 ถึงเดือนพ.ค. 2567 ระบุว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด 64 จังหวัด มีคำร้องขอรับรองบุตรเพื่อนำไปใช้ประกอบการยื่นขอรับเงินประโยชน์ทดแทนกรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตายให้แก่บุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 3,812 คดี เฉลี่ยปีละ 1,687 คดี โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยกว่า 10,000 บาท/คดี การดำเนินการดังกล่าวตั้งแต่ต้นจนเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนต้องใช้เวลานานกว่า 3 ปี 10 เดือน เป็นเหตุให้บุตรของผู้ประกันตนซึ่งขอรับเงินสงเคราะห์ ได้รับเงินล่าช้าและไม่ทันต่อสถานการณ์ความเดือดร้อน

 

ทั้งนี้ กสม. เห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการจำกัดและกระทบต่อสิทธิเด็กและทายาทตามความเป็นจริงของผู้ประกันตนซึ่งถึงแก่ความตาย ที่จะได้รับสวัสดิการสังคม และหลักประกันสังคมซึ่งได้รับการรับรองตามข้อ 9 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) และความเห็นทั่วไปของคณะกรรมการประจำกติกา ICESCR ที่ประสงค์ให้รัฐมุ่งเน้นสิทธิในการเข้าถึงและรักษาสิทธิประโยชน์แก่ผู้ที่อยู่ในความอุปการะไม่ว่าจะเป็นเงินหรือสิ่งอื่นใด โดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อให้ได้ความคุ้มครองจากการขาดรายได้จากการทำงานที่มีสาเหตุจากการเสียชีวิตของสมาชิกในครอบครัว

รวมทั้งข้อ 2 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ตลอดจนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 74 ว่าด้วยแนวนโยบายของรัฐในการคุ้มครองและส่งเสริมผู้ใช้แรงงานด้านรายได้ สวัสดิการ การประกันสังคม และสิทธิประโยชน์อื่นที่เหมาะสมแก่การดำรงชีพ 

 

ดังนั้น ที่ประชุมกสม. เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา จึงมีมติให้แจ้งข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังรมว.แรงงานเพื่อมอบหมายให้สปส.ดำเนินการยกเลิกหนังสือสำนักสิทธิประโยชน์ กลุ่มงานกำกับและควบคุมการวินิจฉัยประโยชน์ทดแทน ที่ รง 0629/ว95 ลงวันที่ 15 ก.ค. 2567 และให้มีหนังสือแจ้งแนวปฏิบัติเรื่องการตีความคำว่า “บุตร” ในมาตรา 73 (2) และมาตรา 77 จัตวา วรรคสอง (1) แห่งพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้สอดคล้องตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 7 และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ กล่าวคือให้ตีความ “บุตร” ตามกฎหมายประกันสังคม หมายรวมถึงบุตรตามความเป็นจริง

ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระเกินสมควรและเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของเด็กให้ได้รับสวัสดิการสังคมและหลักประกันทางสังคมโดยไม่เลือกปฏิบัติ ตามที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่ง 2560 และกติการะหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย