ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมควบคุมโรค พบสัตว์ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า ทั้งสุนัข โค กระบือ แมว โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อถูกสุนัข-แมวกัด ข่วน เลีย น้ำลายกระเด็นเข้าตา ปาก หรือทางผิวหนังที่มีบาดแผล ควรพบแพทย์ 

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า กรมควบคุมโรค (คร.) เฝ้าติดตามโรคพิษสุนัขบ้าอย่างต่อเนื่อง พบรายงานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข โค กระบือ และแมว ติดเชื้อพิษสุนัขบ้า อย่างต่อเนื่อง ในปี 2567 ณ วันที่ 9 กรกฎาคม ระบบสารสนเทศเพื่อการเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า โดยกรมปศุสัตว์ พบสัตว์ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า 182 ตัว จากการส่งตรวจตัวอย่างทั้งหมด 3,100 ตัว กระจายตามจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สัตว์ที่ตรวจพบเชื้อมากที่สุดคือสุนัข รองลงมาคือสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น โค กระบือ คาดว่าสาเหตุของการติดเชื้อเกิดจากถูกสุนัขจรจัดกัด ขอเตือนประชาชนว่า โรคพิษสุนัขบ้ามีความรุนแรง เมื่อติดเชื้อและมีอาการปรากฏโอกาสเสียชีวิตเกือบทุกราย สาเหตุของการติดเชื้อพิษสุนัขบ้าในคนส่วนใหญ่ เกิดจากการถูกสุนัขหรือแมวกัดข่วน แล้วไม่ไปพบแพทย์ เพื่อตรวจรักษาและฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า 

การชำแหละเนื้อสัตว์ หรือบริโภคเนื้อดิบก็สามารถติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าได้ หากรับประทานหรือสัมผัสถูกบาดแผลหรือเยื่อบุช่องปาก ดังนั้น หากถูกสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สงสัยว่าเป็นโรคกัด ข่วน เลีย น้ำลายหรือเลือดกระเด็นเข้าทางตา ปาก หรือผิวหนังที่มีบาดแผล แม้เพียงเล็กน้อย ต้องล้างแผลทันทีด้วยน้ำและฟอกสบู่หลาย ๆ ครั้ง เช็ดแผลให้แห้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อโพวีโดนไอโอดีน หรือทิงเจอร์ไอโอดีน จากนั้นรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งต้องฉีดต่อเนื่องจนครบโดส ควรไปพบแพทย์เพื่อติดตามอาการตามนัดทุกครั้ง หากได้รับเชื้อแต่ไม่ไปฉีดวัคซีน เมื่อมีอาการแสดงปรากฏจะไม่มีทางรักษาให้หายได้

นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้าจะมีอาการเบื่ออาหาร เจ็บคอ ปวดเมื่อย มีไข้ อ่อนเพลีย ชา เจ็บ เสียว หรือปวดบริเวณรอยแผลที่ถูกกัด คันอย่างรุนแรงบริเวณบาดแผล ต่อมาจะมีอาการกระสับกระส่าย ไวต่อเสียงดัง เพ้อ กลัวแสง กลัวลม กลัวน้ำ กลืนลำบาก แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ชัก เกร็ง เป็นอัมพาต หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด 

สำหรับข้อปฏิบัติสำคัญสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง ได้แก่ การนำสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเมื่ออายุ 2-3 เดือนขึ้นไป อย่างน้อย 2 ครั้ง และฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำเป็นประจำทุกปี หากพบเห็นสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้า เช่น พฤติกรรมเปลี่ยนไป ดุร้าย เดินเซ น้ำลายย้อย ลิ้นห้อย ตาขวาง รวมถึงสัตว์ที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ หรือผู้นำชุมชนทันที เพื่อเฝ้าระวังสัตว์เป็นโรค และติดตามผู้สัมผัสสัตว์ให้ไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหลังสัมผัสโรค นอกจากนี้ ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในแก้ปัญหาได้ ด้วยการนำสัตว์เลี้ยงไปขึ้นทะเบียนสัตว์ และไม่ถอดทิ้งสัตว์ให้เป็นสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ

"ขอให้ประชาชนตระหนักถึงการป้องกัน โดยเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงสัตว์ สุนัข แมว อย่างถูกวิธี คุมกำเนิดด้วยการทำหมัน พาสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้า หากถูกสัตว์เลี้ยง สุนัข แมว กัด ข่วนกัด เลีย น้ำลายกระเด็นเข้าตา ปาก หรือบาดแผล แม้เพียงเล็กน้อย ต้องป้องกันตนเองอย่างถูกวิธีทันที “ล้างแผล ใส่ยา หาหมอ ฉีดวัคซีน” เนื่องจากโรคนี้มีระยะฟักตัวนานถึง 3 เดือน บางรายอาจเป็นปี จึงจะแสดงอาการป่วย ซึ่งเมื่อมีอาการปรากฏจะไม่มีทางรักษาและเสียชีวิตทุกราย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสมโดยเร็ว" นพ.อภิชาต กล่าว