ปลัดสธ.เผยตั้ง รพ.ทันตกรรม เพื่อบริการประชาชนมากขึ้น พร้อมผลิตบุคลากรรองรับ ทั้งทันตแพทย์และสายงานทันตกรรมเกี่ยวข้อง ชี้มี 5 ปัจจัยให้คงอยู่ในระบบมากที่สุด หลังพบจบใหม่ปีละ 800 คน อยู่ไม่ถึงครึ่ง เหลือ 200 คน นอกนั้นลาออกไปเอกชน ชูค่าตอบแทน ความก้าวหน้า สวัสดิการที่ดี เปิดโอกาสขึ้นซี 9 เทียบเท่าแพทย์เป็นอย่างน้อย อนาคตอาจแยกกรมทันตกรรม

 

ตามที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผลักดันนโยบายเพิ่มการเข้าถึงบริการทันตกรรมของประชาชนไทย ด้วย Dental Hospital หรือ โรงพยาบาลทันตกรรม ล่าสุดปี 2566 มีรพ.ทันตกรรมแล้ว 39 แห่ง และคาดว่าในปี 2567 จะมีเพิ่มทุกจังหวัดเป็นอย่างน้อยก่อนขยายไปในระดับอำเภอ โดยหารือสปสช.เรื่องจัดสรรงบประมาณบัตรทอง แยกจากเหมาจ่ายรายหัวนั้น เกิดคำถามว่า ในส่วนของบุคลากรที่จะมารองรับจะดำเนินการอย่างไร.....

(ข่าวเกี่ยวข้อง : สธ.ตั้ง 'รพ.ทันตกรรม' ปี 66 มี 39 แห่ง พร้อมผลิตบุคลากรเพิ่ม! หารือสปสช.แยกงบออกจากเหมาจ่าย)

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยถึงการผลักดันนโยบายรพ.ทันตกรรม ที่ต้องมีการจัดหาบุคลากรมารองรับเพิ่มเติม รวมทั้งจะทำอย่างไรให้ทันตแพทย์อยู่ในระบบมากขึ้น ว่า สำหรับเรื่องบุคลากรนั้น แน่นอนว่า ปีหนึ่งมีทันตแพทย์จบ 800 คน มาอยู่กระทรวงสาธารณสุขไม่ถึงครึ่ง หรือประมาณ 1 ใน 4 ย่อมไม่เพียงพอ ยิ่งมี รพ.ทันตกรรมขึ้นมาในแต่ละพื้นที่ก็ยิ่งต้องมีบุคลากรมารองรับเพิ่มเติม  อย่างตอนนี้มี 6,000 คน เราต้องผลิตอีกเท่าไหร่ หากต้องการถึง 30,000 คน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่กระทรวงสาธารณสุข จะต้องเดินหน้าผลิตทันตแพทย์ขึ้นเอง

“กระทรวงสาธารณสุข มีศักยภาพในการผลิตทันตแพทยศาสตร์บัณฑิตได้  เพราะปัจจุบันเราสามารถผลิตแพทย์ได้เองแล้ว  ประกอบกับเรามี รพ.จำนวนมากในภูมิภาค จึงเป็นข้อดีที่เราจะสามารถฝึกปฏิบัติได้จริง  ดังนั้น เรื่องทักษะ ความชำนาญในการดำเนินการจึงไม่ต้องกังวล ส่วนเรื่องวิชาการ สามารถฝึกอบรมเพิ่มเติมได้เช่นกัน แต่เราจะไม่เน้นเพียงการบริการดูแลรักษา เราต้องเน้นการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคด้วย” นพ.โอภาส กล่าว

5 ปัจจัยดึง ทันตแพทย์ อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข

ปลัดสธ. กล่าวอีกว่า แต่ที่สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ทันตแพทย์คงอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหลายปัจจัย เนื่องจากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า มีทันตแพทย์จบการศึกษาปีละ 800 คน อยู่กระทรวงสาธารณสุขเพียง 200 คน ที่เหลือลาออก ส่วนใหญ่ไปอยู่ภาคเอกชน จะทำอย่างไรเพื่อลดปัญหาตรงนี้ ซึ่งผลการรวบรวมข้อมูลที่ผ่านมาพบว่าบุคลากรที่จะอยู่ในกระทรวงสาธารณสุขมีอยู่  5 ปัจจัย คือ   ค่าตอบแทน  สวัสดิการ  ความก้าวหน้า  ภาระงาน และเรื่องอื่นๆ เช่น ครอบครัว ต้องกลับไปดูแลพ่อแม่ ลูกต้องย้ายโรงเรียน เป็นต้น จึงต้องวางปัจจัยให้บุคลากรอยู่ในระบบให้ได้  หลักๆ ดังนี้

1.ค่าตอบแทน การจะมีค่าตอบแทนได้ ต้องมีกิจการที่ตอบสนองกัน อย่างที่ได้ค่าตอบแทนเพิ่มจะเป็นในกลุ่มนอกเวลา ดังนั้น หากเปิดรพ.นอกเวลาให้บุคลากรได้มีค่าตอบแทนเพิ่ม และประชาชนยังได้รับบริการอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาตนเคยถามกับเพื่อนๆข้าราชการว่า เวลาไปรักษาหรือดูแลสุขภาพช่องปากไปที่ไหน ส่วนใหญ่ตอบไปเอกชน เห็นได้ชัดว่าข้าราชการเข้าไม่ถึงบริการเหมือนกัน ดังนั้น เราจึงควรเปิดรพ.ทันตกรรมขึ้น และให้บุคลากรได้รับค่าตอบแทนด้วย 

2.สวัสดิการ เรื่องบ้านพักส่วนใหญ่ได้รับการดูแลพอสมควร แต่หากบริหารจัดการเอง มีรพ.เฉพาะก็สามารถสร้างบ้านพักให้บุคลากรภายในองค์กรได้ ที่ผ่านมาหลายวิชาชีพ อย่างพยาบาล เคยได้ยินข่าว 1 ห้องพักอยู่กัน 4 คน ตอนนี้ก็ยังมีอยู่ ซึ่งขณะนี้มีการสร้างหอพักเพิ่มแล้ว ขณะนี้สร้างไปแล้วประมาณ 4,000 ยูนิต สิ้นปีนี้น่าจะได้ 10,000 ยูนิต และในปี 2567 น่าจะถึง 20,000 ยูนิต อยู่ที่การบริหารจัดการ

3.ความก้าวหน้า ต้องให้บุคลากรได้มีโอกาสเลื่อนระดับเทียบเท่าแพทย์เป็นอย่างน้อย คือ ระดับซี 9 โดยก่อนเกษียณต้องมีโอกาสเลื่อนระดับได้ทุกคน ซึ่งการจะทำตรงนี้ได้สำเร็จก็จะกลับมาที่ รพ.ทันตกรรม เมื่อมีรพ. ต้องมีบุคลากรมารองรับภารกิจงานที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น โดยสิ่งเหล่านี้เราสามารถนำข้อมูลไปเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)พิจารณาเรื่องความก้าวหน้าได้   หากเรามีข้อมูลข้อเท็จจริงก็จะเหมือนกรณีพยาบาลที่เพิ่งได้รับความก้าวหน้าเลื่อนระดับชำนาญการพิเศษ หรือ ซี 8 กว่า 1 หมื่นตำแหน่ง  ที่มีการนำเสนอข้อมูลภาระงาน ความจำเป็นตามเหตุผลที่เกิดขึ้นจริง จน ก.พ. พิจารณาเห็นชอบ

4.ภาระงาน ปัจจุบันทันตแพทย์มีจำนวนน้อย ก็ต้องมีการผลิตเพิ่ม แต่เมื่อเพิ่มแล้วก็ต้องจัดบริการทันตกรรมมากขึ้น และครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งก็กลับมาที่ รพ.ทันตกรรม ที่จะแก้ไขและตอบโจทย์ตรงนี้ และ 5.เรื่องอื่นๆ  โดยต้องให้ความสำคัญทั้งหมด

สร้างความก้าวหน้า ผลักดันสู่สายบริหาร อนาคตอาจแยกเป็นกรมทันตกรรม

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า การมีรพ.ทันตกรรม จะช่วยเรื่องความก้าวหน้าให้กับวิชาชีพ และสายงานต่างๆด้านทันตกรรมทั้งหมด  ที่สำคัญบุคลากรยังมีโอกาสเติบโตเข้าสู่สายงานบริหารได้ อย่างล่าสุดสำนักงานเขตสุขภาพ เสนอว่า น่าจะมีทันตแพทย์สำนักงานเขตสุขภาพ หรือ Chief Dental Officer (CDO) ตนได้ฝากผู้ตรวจราชการฯ รับเรื่องนี้ไปดำเนินการต่อไป รวมถึงรพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป หากยังไม่มีรพ.ทันตกรรม ให้พัฒนาเป็นศูนย์ทันตกรรม และตั้งเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายทันตกรรม หรือเป็นผอ.ศูนย์ทันตกรรม พิจารณาตามความเหมาะสม โดยหลักเราต้องการเปิดโอกาสให้ทันตแพทย์เป็นผู้บริหารจัดการเอง ส่วนกระทรวงฯจะดูภาพรวม ดูเป้าหมายเป็นสำคัญ

“ขอย้ำว่า รพ.ทันตกรรม ยังไม่จำเป็นต้องสร้างตึกใหม่ จัดทำชั้นใดชั้นหนึ่งทำก็ได้ พื้นที่ที่ว่างสามารถทำได้ หรือจะใช้โมบายยูนิตทำก่อน และในอนาคตหากดำเนินการแล้วผลดีเกิดขึ้นมาก ก็สามารถขยายไปสู่การมีกอง เป็นกรมทันตกรรมก็ว่ากันไป ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของสถานการณ์” ปลัดสธ.กล่าว