“ชูวิทย์” จี้ถาม “พิธา” กลางวงแถลง MOU พรรคร่วมรัฐบาล ขอ “กัญชา” กลับเป็นยาเสพติด และต้องปิดร้านขายกัญชาทั้งหมด ด้าน “พิธา” ตอบมีใน MOU เหตุที่ผ่านมามีสุญญากาศทางกฎหมาย ต้องหาทางออกร่วมกัน ส่วนเนื้อหาบันทึกข้อตกลงร่วม 23 ข้อ ประเด็นกัญชาอยู่ข้อ 16 ส่วนสุราก้าวหน้า อยู่ข้อ 10 ยกเลิกผูกขาด ส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ขณะที่พรรคประชาชาติ ขอสงวนสิทธิ์ไม่เห็นด้วยกรณีนี้
จี้ปิดร้านขายกัญชาทั้งหมด เหตุเมื่อเป็นทางการแพทย์และเป็นยาเสพติด ย่อมขายไม่ได้
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ที่ห้องแกรนด์ บอลลูม โรงแรมคอนราด กทม. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยหัวหน้าพรรค และแกนนำพรรคอีก 7 พรรค ได้ลงนามข้อตกลงร่วม (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งปรากฎว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้มาร่วมอยู่ในห้องแถลงข่าวครั้งนี้
โดยหลังจากนายพิธา อ่านบันทึกข้อตกลงร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนถามคำถามต่างๆ ซึ่งคำถามท้าย นายชูวิทย์ ได้ยกมือขอสอบถามประเด็น “กัญชา” ว่า ท่านยังพูดไม่ชัดว่า กัญชา จะต้องกลับไปเป็นยาเสพติด นี่คือหลัการสำคัญ และร้านกัญชาต่างๆ ต้องปิด ไม่ปิดไม่ได้ ต้องพูดให้ชัดว่า ต้องปิดให้หมด เพราะเมื่อกลับไปสู่ยาเสพติด และเป็นกัญชาทางการแพทย์ ก็ต้องให้แพทย์เป็นคนออก
“หากท่านทำไม่ได้ ผมก็จะประท้วงท่าน ผมพูดชัดๆ กัญชาต้องกลับไปเป็นยาเสพติด กัญชาต้องเป็นการแพทย์ ต้องให้แพทย์เป็นผู้ออกเท่านั้น ร้านกัญชาต้องปิดเท่านั้น” นายชูวิทย์ กล่าว
นายพิธา ตอบว่า เรื่องกัญชาก็ต้องพูดคุยกัน เพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น การมีสุญญากาศกฎหมายกัญชา เกิดผลลัพธ์มากมายพอสมควร เช่น มีร้านกัญชาอยู่ใกล้โรงเรียน อยู่พื้นที่สาธารณะ ต้องแก้ไขกัน แต่ต้องมีส่วนร่วมของประชาชนเข้ามาพูดคุย และหาโรดแมปกลับไป ส่วนที่บอกว่า กัญชาต้องกลับไปเป็นยาเสพติด ใน MOU ก็ระบุชัด เพราะเป็นเรื่องของสภาพบังคับ
“ผมยังจำได้ว่า มีอยู่วันหนึ่งถนนข้าวสาร คนที่ไปกลายเป็นอธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฯ เพราะสภาพบังคับไม่มี ไม่รู้กฎหมายจะใช้ยังไง ก็ไปใช้พ.ร.บ.ของแพทย์แผนไทย แทนที่จะเป็นตำรวจ หรือคนที่เชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหา ซึ่งยืนยันจะทำให้ดีที่สุด และให้มีส่วนร่วม แต่ก็ต้องเข้าใจว่าช่วงที่ผ่านมา เป็นสุญญากาศ เป็นเสรีสุดโต่งไป เพราะปลดเป็นเสรีก่อนที่จะมีกฎหมายควบคุม” นายพิธา กล่าว
สำหรับเนื้อหาใน MOU ฉบับพรรคร่วมรัฐบาล 9 พรรค นายพิธา ได้อ่านเนื้อหาในบันทึกข้อตกลงร่วมกัน ใจความว่า ทุกพรรคเห็นร่วมกันว่าภารกิจของรัฐบาลที่จะผลักดันนั้น ไม่กระทบรูปแบบของรัฐ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดไม่ได้ขององค์พระมหากษัตริย์ ประกอบด้วย วาระร่วมดังต่อไปนี้
1.ฟื้นฟูประชาธิปไตย รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนให้เร็วที่สุด โดยมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
2.ยืนยันและผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อรับประกันสิทธิสมรสสำหรับคู่รักทุกเพศ โดยจะไม่บังคับประชาชนที่เห็นว่าขัดแย้งกับหลักการของศาสนาที่ตนเองนับถือ
3.ผลักดันการปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม ให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย โดยยึดหลักความโปร่งใส ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน
4.เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ เป็นระบบสมัครใจ ทั้งนี้ ยังคงไว้ซึ่งการเกณฑ์ทหารหากมีศึกสงคราม
5.ร่วมผลักดันกระบวนการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยคำนึงถึงหลักการด้านสิทธิมนุษยชน การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมถึงทบทวนภารกิจของหน่วยงานและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง
6.ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ เพื่อให้ท้องถิ่นตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ปราศจากทุจริต
7.แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นโดยการสร้างระบบและวัฒนธรรมรัฐโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลรัฐในทุกหน่วยงาน
8.ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยยึดหลักเพิ่มรายได้ประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม
9.ยกเครื่องกฎหมายเกี่ยวกับการทำมาหากิน และการดำรงชีวิตของประชาชน เช่น ตัด ลด หรือพักใช้ชั่วคราวซึ่งใบอนุมัติ อนุญาตที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคเพื่อปรับปรุงใหม่ ให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องทางด้านการเงินและสร้างแต้มต่อให้กับ SME พร้อมกับมุ่งเน้นการเติบโต GDP ของ SME สนับสนุนอุตสาหกรรม และสินค้าไทยให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้
10.ยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดย พรรคประชาชาติ ขอสงวนสิทธิ์ไม่เห็นด้วยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเหตุผลทางศาสนา
11.ปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ ด้วยการผลักดันกฎหมายปฏิรูปที่ดิน กระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมแก้ปัญหาแนวเขตป่าไม้และที่ดินของรัฐที่ทับซ้อนกับที่ดินของประชาชน รวมถึงการทบทวนคดีที่เป็นผลจากนโยบายทวงคืนผืนป่า
12.ปรับปรุงโครงสร้างการผลิตไฟฟ้า การคำนวณราคา และกำลังการผลิตที่เหมาะสม เพื่อลดค่าครองชีพประชาชนและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
13.จัดทำงบประมาณแบบใหม่ โดยเน้นใช้วิธีการจัดงบประมาณฐานศูนย์ (zero-based budgeting)
14.สร้างระบบสวัสดิการดูแลประชาชนตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงวัย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและภาระทางการคลังระยะยาว
15.แก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเร่งด่วน
16.นำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษ ผ่านการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยมีกฎหมายควบคุมและรองรับการใช้ประโยชน์จากกัญชา
17.ส่งเสริมเกษตรและปศุสัตว์ปลอดภัย คุ้มครอง รักษาผลประโยชน์ของเกษตรกร ลดต้นทุนการผลิตส่งเสริมการตลาด ส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยี และแหล่งน้ำ ส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกร เพื่อวางแผนการผลิตและรักษาผลประโยชน์กษตรกร ส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ
18.แก้ไขกฎหมายประมง ขจัดอุปสรรค เยียวยา ฟื้นฟู และพัฒนาอาชีพประมงให้ยั่งยืน
19.ยกระดับสิทธิแรงงานทุกอาชีพให้มีสภาพการจ้างงานที่เป็นธรรม และได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมสอดคล้องกับค่าครองชีพและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
20.ยกระดับสาธารณสุขเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบสาธารณสุข
21.ปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
22.สร้างความร่วมมือและกลไกภายในและระหว่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) โดยเร็วที่สุด
23.ดำเนินการนโยบายการต่างประเทศ โดยการฟื้นฟูบทบาทผู้นำของไทยในอาเชียน และรักษาสมดุลการเมืองระหว่างประเทศของไทยกับประเทศมหาอำนาจ
ขอบคุณภาพจากพรรคก้าวไกล
ทุกพรรคเห็นพ้องบริหารประเทศ 5 ข้อหลัก
ทุกพรรคเห็นพ้องบริหารประเทศด้วยแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้
1.ทุกพรรคจะคุ้มครองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของประชาชนทุกคน
2.ทุกพรรคจะทำงานโดยซื่อสัตย์สุจริต หากมีบุคคลของพรรคใดมีพฤติกรรมทุจริต คอร์รัปชั่น ทุกพรรคจะยุติการดำรงตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ทันที
3.ทุกพรรคจะทำงานโดยให้เกียรติซึ่งกันและกัน จริงใจต่อกัน สนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง มากกว่าผลประโยชน์ของพรรคใดพรรคหนึ่ง
4.ทุกพรรคมีสิทธิในการผลักดันนโยบายอื่นเพิ่มเติม แต่ไม่ขัดแย้งจากนโยบายในบันทึกข้อตกลงร่วมฉบับนี้ โดยอาศัยอำนาจฝ่ายบริหารของรัฐมนตรีที่เป็นตัวแทนของแต่ละพรรคการเมือง
5.ทุกพรรคมีสิทธิในการผลักดันนโยบายอื่นเพิ่มเติม แต่ไม่ขัดแย้งจากนโยบายในบันทึกข้อตกลงร่วมฉบับนี้โดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติของผู้แทนราษฎรที่สังกัดแต่ละพรรคการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนประเด็นมาตรา 112 ไม่ปรากฎใน MOU ฉบับนี้
ขอบคุณภาพจากพรรคไทยสร้างไทย
- 2803 views