ภาคประชาชน ยื่นหนังสือขอบคุณ “อนุทิน – สธ.” บังคับใช้พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดผลกระทบสุขภาพ –สังคม ย้ำ 15 ปี ถึงเวลาปรับแก้กฎหมาย ต้องเข้มขึ้น แนะปรับมาตรา 32 คุมห้ามใช้โลโก้เหมือนน้ำเมา โฆษณาน้ำดื่ม-โซดา ออกเกณฑ์ชี้วัดฝีมือกก.น้ำเมาจังหวัด ค้านสุดตัวข้อเสนอทุนน้ำเมาขอขยายเวลาขาย 11.00-24.00 น.
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เครือข่ายองค์กรงดเหล้า เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง และภาคีเครือข่ายป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กว่า 30 คน ยื่นหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากในโอกาสครบรอบ 15 ปี ที่มีการบังคับใช้พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 แสดงความขอบคุณที่สธ. ดำเนินการตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คุ้มครองสุขภาพประชาชนและป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ โดยมีผนพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดสธ. เป็นผู้รับมอบหนังสือ
นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า วันที่ 14 ก.พ.ของทุกปีเป็นวันเริ่มต้นบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เป็นกฎหมายที่ประชาชนมากกว่า 13 ล้านคนลงชื่อสนับสนุน เพื่อลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกมิติ ทั้งความรุนแรงในครอบครัว อุบัติเหตุ อาชญากรรม คุ้มครองสุขภาพประชาชน ป้องกันเด็กและเยาวชนไม่ให้เข้าถึงได้ง่าย จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 ที่สำรวจผู้อายุ 15 ขึ้นไปพบว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มจาก 38.68 ล้านคนในปี 2554 มาเป็น 41.04 ล้านคนในปี 2564 หรือมีนักดื่มลดลงประมาณ 2.3 ล้านคน เมื่อคำนวณปริมาณเอทานอล บริสุทธิ์ต่อหัวประชากรที่ดื่มพบว่า อยู่ในระดับทรงตัว คือ 7.1 ลิตรต่อปี แต่เมื่อคำนวณต้นทุนที่สูญเสียจากปัญหาการดื่มในปี 2564 สูงกว่า 1.65 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังพบผู้ต้องขังอายุไม่เกิน 25 ปีสัดส่วนถึง 80 % ดื่มสุราก่อนก่อเหตุ และผู้เสียชีวิตจากโรคตับสัมพันธ์กับการดื่มมีถึง 2.5 หมื่นคนต่อปี
นอกจากนี้ ผลสำรวจความเห็นประชาชนของของศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ 2564 พบว่า 70% เห็นด้วยกับการห้ามโฆษณา และ 74 % ไม่เห็นด้วยที่จะขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้มากขึ้นตามข้อเสนอของกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สอดคล้องกับจุดยืนของเครือข่ายที่คัดค้านในเรื่องนี้ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ประโยชน์เต็มที่จากการจำหน่ายแต่ขาดความรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งยังมีความพยายามขับเคลื่อนให้กลุ่มต่างๆ รวมถึงเยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกรูปแบบ จึงต้องร่วมกันต่อต้าน
ด้านนายธีระ วัชระปราณี ผู้จัดการเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบ 15 ปี พ.ร.บ.นี้เครือข่ายฯ มีข้อเสนอ ดังนี้ ขอบคุณสธ.ที่ดำเนินการตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ คุ้มครองสุขภาพประชาชนและลดผลกระทบทางสังคม อย่างไรก็ตามเนื่องจากกฎหมายใช้มานาน จึงสนับสนุนให้ปรับแก้ ยึดหลักการแก้ไขให้ดีและ เข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขมาตรา 32 ห้ามใช้ตราสัญลักษณ์ (โลโก้) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปโฆษณาสินค้าอื่น อาทิ น้ำดื่ม โซดา เป็นต้น กำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนกรณีมาตรา 29 ไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้คนเมาครองสติไม่ได้ ให้ผู้ขายผู้ให้บริการเป็นแนวปฏิบัติได้จริง รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานบำบัดฟื้นฟูผู้ติดสุราอย่างจริงจัง สร้างแรงจูงใจให้ผู้ติดสุราเข้าสู่การบำบัด เป็นต้น นอกจากนี้ ขอให้สธ.กำหนดตัวชี้วัดการทำงานของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัด รวมถึง กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ ยังทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ขาดความเอาใจใส่จริงจังโดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมาย
ด้านนพ.ณรงค์ กล่าวว่า นโยบายสธ.สนับสนุนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดผลกระทบจากสูญเสียทั้งจากการเมาแล้วขับ อุบัติเหตุ โรคต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่พบการดื่มในอายุที่น้อยลง กลไกสำคัญคือการบังคับใช้กฎหมายซึ่งบังคับใช้มา 15 ปีแล้วจำเป็นต้องปรับแก้ให้ทันสมัยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของทุกภาคส่วน ขณะเดียวกันกลไกการทำงานที่เข้มแข็งของเครือข่ายทั้งจากภาครัฐ ประชาสังคมเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกันรณรงค์ป้องกันปัญหา ในส่วนของระดับจังหวัดจะประสานให้มีการทำงานที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้นตามข้อเสนอเครือข่าย
ขณะที่นพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผอ.สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับภาคประชาชนได้มีการเสนอเข้าไปที่สภาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าจะมีการหยิบขึ้นมาพิจารณาเมื่อไหร่ ส่วนร่างฉบับของกระทรวงสาธารณสุข ยังต้องต้องกลับมาปรับปรุงตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาทักท้วง ส่วนของการใช้ตราเสมือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาโฆษณาสินค้าประเภทอื่น ซึ่งในมาตรา 32 จริงๆ ฉบับก่อนใช้เมื่อปี 2551 นั้น มีข้อความกำหนดเอาไว้ชัดเจนว่าห้ามใช้ แต่กลับถูกตัดออก อย่างไรก็ตาม ร่างฉบับนี้จะมีการเขียนให้มีความชัดเจนขึ้น จริงๆ ฉบับที่มีการใช้อยู่ปัจจุบัน ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าห้ามมีการโฆษณาส่งเสริมการตลาด ซึ่งในส่วนนี้จะรวมถึงเรื่องของการใช้ข้อความเชิญชวน เรื่องของโลโก้ต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านี้เพียงเห็น หรือได้ยินก็สร้างการรับรู้แล้ว
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
- 87 views