สธ.เผยวัคซีนไฟเซอร์เด็ก 6 เดือน จนถึง 4 ปีมาถึงไทยพรุ่งนี้ (7 ต.ค.) เตรียมตรวจรับรองรุ่นการผลิตก่อนกระจายส่งทั่วประเทศคิกออฟฉีดพร้อมกัน 12 ต.ค.นี้ "อนุทิน" ร่วมเปิดคิกออฟที่ รพ.พระนั่งเกล้าแห่งแรก
เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมแนวทางการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ในเด็กอายุ 6 เดือน จนถึง 4 ปี ถึงนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 เราประกาศให้โรคโควิด 19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ปัจจัยที่สำคัญคือการฉีดวัคซีนที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ จนคนไทยส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกัน เนื่องจากเรามีการกำหนดนโยบายปรับไปตามสถานการณ์ มีข้อมูลทางด้านวิชาการมาประกอบว่าต้องฉีดกี่เข็มกลุ่มไหนอย่างไร วันนี้การฉีดเด็ก 6 เดือนจนถึง 4 ปีก็มาจากคำแนะนำของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภุมิคุ้มกันโรคเสนอขึ้นมา รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่ร่วมให้บริการ ซึ่งการประชุมชี้แจงในวันนี้ก็มี รพ.ต่างๆ เข้าร่วม ไปจนถึง รพ.สต. หรือ รพ.สังกัดต่างๆ โดยวันที่ 12 ต.ค.นี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สธ. จะเป็นประธานคิกออฟการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในเด็กอายุ 6 เดือน จนถึง 4 ปี ขอให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ถึงประโยชน์และความปลอดภัยของวัคซีน
"เมื่อโรคโควิด 19 ไม่ได้เป็นโรคติดต่ออันตราย ความสนใจในโรคและการฉีดวัคซีนของคนลดลง หลายคนไม่แน่ใจว่าฉีดวัคซีนดีหรือไม่ ซึ่งคำแนะนำคือเข็มกระตุ้นมีความจำเป็น โดยขอให้ฉีดกระตุ้นทุก 4 เดือน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง608 ควรรับเข็มที่ 4 ส่วนปีต่อไปฉีดเหมือนไข้หวัดใหญ่หรือไม่ ตอนนี้ข้อมูลทั่วโลกยังไม่เพียงพอ ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ช่วงต่อไปการฉีดวัคซีนจะไม่ง่ายเหมือนช่วงแรกที่ความต้องการฉีดมีมาก แต่ปัจจุบันความต้องการลดลง ทั้งที่มีวัคซีนให้เลือกทุกชนิดตามความสมัครใจ ก็ต้องขอให้ออกแรงกัน น่าจะมีการฉีดอย่างน้อย 2 ล้านโดสในเข็ม 4 ภายในเดือน ธ.ค.นี้" นพ.โอภาสกล่าว
ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยวริวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันเราให้วัคซีนโควิด 19 แล้ว 143 ล้านโดสครอบคลุมตั้งแต่เด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป แต่เพื่อสร้างความครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายจึงจัดหาวัคซีนโควิด 19 ของไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนจนถึง 4 ปี เพื่อเพิ่มความปลอดภัยจากการป่วยหนักและเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด จะเริ่มให้บริการวันที่ 12 ต.ค. 2565 เป็นต้นไป จึงจัดแนวทางการให้บริการเด็กกลุ่มนี้ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทั้งประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างความเชื่อมั่นมาตรฐานการให้บริการอย่างปลอดภัย โดยมีการซักซ้อมทั้งประเทศให้เข้าใจวิธีการดำเนินการที่ถูกต้อง ทั้งนี้ วัคซีนดังกล่าวจะมาถึงวันที่ 7 ต.ค. และจะผ่านกระบวนการตรวจสอบรับรองรุ่นการผลิตจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และจะรีบกระจายเพื่อจะได้เริ่มคิกออฟพร้อมกันทุกพื้นที่วันที่ 12 ต.ค.นี้ ซึ่งจะมีนายอนุทิน เป้นประธานคิกออฟฉีดเด็กชุดแรกที่ รพ.พระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี
สำหรับการกระจายจะจัดส่งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทุกแห่ง เพื่อให้กระจายต่อในพื้นที่ ตามจำนวนที่มีการแจ้งความประสงค์ไว้ โดยไปรับบริการได้ที่จุดที่แจ้งความประสงค์ ซึ่งกระจายไปถึง รพ.สต. รพ.ทุกระดับ
ทั้งนี้ จากการประเมินสอบถามผู้ปกครองถึงความสมัครใจในการรับวัคซีน มีรายชื่ออยู่แล้วเบื้องต้นประมาณ 3 แสนคน โดยสามารถฉีดร่วมกับวัคซีนพื้นฐานชนิดอื่นได้ ส่วนสถานการณ์โรคโควิด 19 เรารายงานเป็นรายสัปดาห์ โดยวันที่ 2-5 ต.ค. 2565 มีผู้ป่วยในระบบรายงาน 1,305 ราย เฉลี่ยวันละ 326 ราย เสียชีวิตวันละ 8-9 ราย เฉลี่ยวันละ 9 ราย แม้จะรายงานสัปดาห์ แต่เราติดตามทุกวัน โดยเปิดศูนย์ปฏิบัติการ (อีโอซี) กรมควบคุมโรคติดตามทุกวัน จากการประเมินตัวเลขยังเป็นไปตามคาดการณ์และควบคุมได้ อยู่ต่ำกว่าระดับเป้าหมาย
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันเด็ก 6 เดือนจนถึง 4 ปี เป็นกลุ่มเดียวที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งช่วงการระบาดของโอมิครอนพบว่าเด็กเล็กกลุ่มนี้มีการป่วยและอัตราเสียชีวิตสูงกว่าเด็กโต 3 เท่า ซึ่งการซักซ้อมแนวทางได้เน้นย้ำเรื่องให้ฉีดตามแนวทาง โดยเด็กเล็กจะใช้ปริมาณวัคซีนน้อยลง ซึ่งเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปีใช้วัคซีนฝาสีแดงเข้มขนาด 3 ไมโครกรัม จำนวน 0.2 มิลลิลิตร ฉีด 3 เข้ม โดยเข็มแรกและเข็มสองห่างกัน 1 เดือน และเข็มสามห่างอีก 2 เดือน ซึ่งต่างจากเด็กโตอายุ 5-11 ปีที่มีขนาด 10 ไมโครกรัม และอายุ 12 ปีขึ้นไปฝาสีม่วงที่ใช้ขนาด 30 ไมโครกรัมหลังฉีดให้สังเกตอาการ 30 นาที และติดตามต่อจนครบหนึ่งเดือน ซึ่งสหรัฐอเมริกามีการฉีดและติดตามล้านกว่าโดสพบว่าผลข้างเคียงน้อยกว่าเด็กโต ไม่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงถึงเสียชีวิต ถือว่าปลอดภัยสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งช่วงนี้มีการผ่อนคลายต่างๆ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงทั้งผู้ใหญ่และเด็ก แต่วัคซีนจะช่วยป้องกันไม่ให้ป่วยหนักได้ง่าย เมื่อเด็กไม่ป่วย พ่อแม่ผู้สูงอายุในบ้านก็ลดความเสี่ยง
* เมื่อถามว่าการบริหารทำอย่างไรให้ไม่เกิดกาหยิบวัคซีนผิดกลุ่มอายุ นพ.โสภณ กล่าวว่า เป้นโจทย์ที่สำคัญ ในมาตรฐานจะมีการป้องกันโดยให้บริการกลุ่มเดียวเลยในเด็กอายุ 6 เดือนจนถึง 4 ปีในจุดนั้นวันนั้น เพื่อไม่ให้ใช้วัคซีนฝาอื่นหากต้องฉีดวัคซีนสำหรับผู้ใหญ่หรือเด็กโตให้แยกห้อง เพื่อให้การบริการวัคซีนในห้องนั้นเป้นวัคซีนชนิดนั้นชนิดเดียว แต่เจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี จะมีความระมัดระวังอยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ฉีดแค่วัคซีนตัวนี้ แต่มีการฉีดวัคซีนตัวอื่นคอตีบ ไอกรม บาดทะยัก หัดต่างๆ ด้วยเจ่าหน้าที่มีความระมัดระวังไม่ให้สลับชนิดวัคซีน
*เมื่อถามถึงความกังวลผลข้างเคียงกระทบหลอดเลือดหัวใจ นพ.โสภณกล่าวว่า จากการที่เราฉีดวัคซีนชนิด mRNA ตั้งแต่ปีที่แล้ว โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบการติดเชื้อโควิดแล้วเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งในต่างประเทศโอกาสแทรกซ้อนเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเด็กเล็กก็น้อยกว่าเด็กโต รวมถึงภาวะมิสซีหรืออักเสบทั่วร่างก็ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้มากกว่า แต่การฉีดวัคซีนจึงป้องกันทั้งโควิดและการเกิดมิสซี
*ถามต่อว่าเคยมีข้อมูลคนฉีดวัคซีนก็เกิดภาวะมิสซีได้ นพ.โสภณกล่าวว่า คนฉีดวัคซีนมีโอกาสเกิดภาวะมิสซีได้ แต่น้อยมาก 1 ใน ล้าน ซึ่งการฉีดวัคซีนเด็กโตก็เจอบ้าง แต่เกิดแล้วสามารถรักษาได้ ไม่ได้มีอาการรุนแรงเสียชีวิต ถ้าไม่ฉีดวัคซีนการอักเสบจะเยอะกว่า อย่างการฉีดวัคซีนเราควบคุมปริมาณน้อยมากอย่าง 3 ไมโครกรัม เมื่อไปติดเชื้อก็ทำให้เชื้อไม่เพิ่มจำนวนมาก เพระามีภูมิคุ้มกันจากวัคซีนไปต้านปริมาณเชื้อ แต่การติดเชื้อธรรมชาติมีเชื้อจำนวนมากเป็นล้านๆ พาร์ติเคิลที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดการอักเสบมากกว่าอยู่แล้ว ส่วนเรื่องฉีดแล้วพบตัวบวมก็เป็นเคสรายงานแต่พบน้อยมาก ยิ่งการฉีดในเด็กเล็กจำนวนเด็กน้อยโอกาสเกิดก็จะยิ่งน้อย น่าจะเป็นอาการแพ้ ส่วนใหญ่รักษาได้ เราถึงให้ติดตาม 30 นาที และติดตามให้ครบ 1 เดือน เชื่อว่าวัคซีนปลอดภัยมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ผลิตมีการพัมฯาการผลิตและปริมาณน้อย 3 ไมโครกรัม น้อยกว่าผู้ใหญ่ 10 เท่า
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
- 1676 views