กรมควบคุมโรคเผยพบผู้ป่วยฝีดาษวานร ยืนยันรายที่ 3 เดินทางเข้าไทยที่จ.ภูเก็ต เบื้องต้นยังไม่พบผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง ส่วนเรื่องวัคซีนป้องกัน คาดเข้ามาไม่เกิน ส.ค.นี้ ขณะที่คกก.สร้างเสริมภูมิคุ้มกันฯ กำหนด 2 กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มแรก ไม่มีประวัติติดเชื้อ แต่มีความเสี่ยงสูง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ฯ จนท.ห้องแล็บ และกลุ่มสองมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยฝีดาษลิง ขณะที่กรมการแพทย์เผยพบผู้ป่วยต้องรับรักษาใน รพ.ทุกราย
เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ว่า วันนี้มีการรายงานกรณีโรคฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิง(Monkeypox) มีผลการตรวจหาเชื้อในห้องปฏิบัติการ(แล็บ) ยืนยันในรายที่ 3 เป็นผู้ป่วยชาย อายุ 25 ปี สัญชาติเยอรมนี เดินทางเข้าไทยเมื่อวันที่ 18 ก.ค.65 ที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งทางจังหวัดกำลังจะรายงานไทม์ไลน์ผู้ป่วยมาให้กรมควบคุมโรค โดยเบื้องต้น ผู้ป่วยรายดังกล่าวเมื่อเข้ามาถึงไทยไม่นานก็เริ่มมีอาการ จึงคาดว่า น่าจะติดเชื้อจากต่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้ป่วยให้ประวัติว่าเดินทางมาเที่ยวในไทย เคยไปๆมาๆ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด กลุ่มเสี่ยงเพื่อคัดกรองโรคฝีดาษลิง ซึ่งเบื้องต้นผลยังไม่พบผู้ติดเชื้อในผู้สัมผัส แต่ตามแนวทางจะต้องให้สังเกตอาการ 21 วัน โดยสามารถไปไหนมาไหนได้โดยระวังการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น
“ส่วนความเสี่ยงที่โรคฝีดาษลิงจะกระจายในประเทศไทย จะสังเกตว่า 3 รายเป็นเพศชาย ตรงกับข้อมูลขององค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่า 98% มีประวัติชายรักชาย(man sexual with men) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของไทย เป็นชายทั้งหมด โดยเป็นต่างชาติ 2 ราย และคนไทย 1 รายที่สัมผัสใกล้ชิดกับชาวต่างชาติ ฉะนั้น ความเสี่ยงคือการสัมผัสใกล้ชิดต่างชาติกับผู้ป่วยฝีดาษลิง” นพ.โอภาสกล่าว
นพ.โอภาสกล่าวว่า ผู้ป่วยรายที่ 3 เมื่อเข้ามาไม่นาน ก็เริ่มมีอาการฝีดาษลิง คือ ไม่ไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ต่อมาผื่นขึ้นเริ่มจากอวัยวะเพศและไปตามร่างกาย อาการค่อนข้างชัดเจน จึงมาโรงพยาบาล(รพ.) ทั้งนี้ ข้อมูลทั่วโลกพบว่าผู้ป่วยฝีดาษลิงไม่ได้จำเป็นต้องอยู่ใน รพ.ทุกรายมีเพียง 9% ที่ต้องอยู่รพ.เพื่อควบคุมโรค ดังนั้น มาตรการของเราในอนาคต หากผู้ป่วยไม่มีปัญหาสุขภาพก็ให้รักษาตัวที่บ้านได้(Home Isolation)
นพ.โอภาส กล่าวว่า ส่วนเรื่องวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิง ทางองค์การเภสัชกรรมกำลังประสานติดต่อคาดว่าไม่เกินเดือนนี้ ซึ่งคณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้ 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่ยังไม่มีประวัติติดเชื้อแต่ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรค เช่น บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ห้องแล็บ 2.มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยฝีดาษลิง แต่ไม่เกิน 14 วันหลังจากสัมผัสครั้งสุดท้าย คาดว่าป้องกันโรคได้ ด้านยารักษาโรค ขณะนี้ ข้อมูลบ่งชี้ว่าสามารถหายเอง อย่างผู้ป่วย 2 รายแรกของไทย อาการดีขึ้นโดยไม่ต้องรับยาต้านไวรัส แต่ยาอาจมีความจำเป็นในกลุ่มผุ้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี หรือร่างกายอ่อนแอ ทั้งนี้ ข้อมูลทั่วโลกพบติดเชื้อฝีดาษลิง 2 หมื่นราย เสียชีวิต 3-4 ราย ซึ่งประวัติมีโรคประจำตัว เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ภาวะแทรกซ้อนสมองอักเสบ ฉะนั้น ยาจะมีความจำเป็นเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่ทุกรายที่ต้องรับยา
ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน หรือ อีโอซีกระทรวงสาธารณสุข เห็นชอบแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคฝีดาษวานร สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ในโรงพยาบาล(รพ.) เมื่อวันที่ 1 ส.ค.65 ขณะนี้ กรมการแพทย์ได้ประกาศแนวทางดังกล่าว โดยหากพบผู้ป่วยที่สังสัยป่วยโรคฝีดาษลิง ขอให้รับเป็นผู้ป่วยในรพ.(Admit) เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอน และเพื่อการควบคุมโรคไปในตัว โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันว่า สามารถตรวจเชื้อได้ใน 24 ชั่วโมง อย่างเร็วที่สุดคือ 3-4 ชั่วโมง
“แนวทางรักษา โดยหลักการเป็นโรคที่หายเอง แต่มีการพูดคุยเรื่องยาต้านไวรัสเผื่อไว้ด้วย ทั้งนี้ หากพบผู้ป่วยสงสัยเราจะแอดมิทจนแน่ใจว่าเป็นหรือไม่ จากนั้นจะต้องดูเป็นรายๆ ไป หากเราสามารถป้องกันควบคุมโรคได้ชัดเจน ไม่มีโรคประจำตัวที่น่ากังวล เราก็จะกลับไปรักษาที่บ้าน(Home Isolation) ซึ่งต่างประเทศเขาก็ทำแบบนี้ แต่ทั้งหลายต้องมั่นใจว่าไม่มีอาการแทรกซ้อน และสามารถป้องกันควบคุมโรคได้” นพ.สมศักดิ์กล่าว
อ่านข่าวเกี่ยวข้อง : กรมการแพทย์เผยแนวทางวินิจฉัยดูแลรักษา และป้องกันติดเชื้อฝีดาษลิง สำหรับบุคลากรทางการแพทย์
- 5853 views