“อนุทิน” มอบ สบส. ตรวจสอบกรณีข้อร้องเรียน รพ.เอกชนขายแพคเกจรักษาผู้ป่วยโควิด บางรายเสนอขายยาโมลนูฯ หวั่นใช้ยาเกินจำเป็น ย้ำ! แพคเกจขายได้ แต่ต้องรักษาตามข้อบ่งชี้การแพทย์ หากไม่ใช่เข้าข่ายผิด 2 เด้ง ทั้งพรบ.สถานพยาบาล และการประกอบวิชาชีพที่แพทยสภาดูแล

 

ตามที่มีโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งออกแพคเกจรักษาผู้ป่วยโควิด-19  โดยให้ผู้ป่วยเลือกว่า จะเลือกแพคเกจใด อาทิ ยาฟาวิพิราเวียร์ 50 เม็ด ราคา 2,900 บาท ยาฟาวิฯแบบครบโดส บวกกับปรอทและเครื่องวัดออกซิเจนในเลือด ราคา 3,000 บาท และรพ.เอกชน บางแห่งเสนอยาโมลนูพิราเวียร์อีกประมาณ 20-30 เม็ด ราคา 5,700 บาท และยังมีแพคเกจอื่นๆอีกมากนั้น

เมื่อวันที่ 11 ก.ค.2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ยาฟาวิฯ ยาโมลนูพิราเวียร์ รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนให้รพ.รัฐ และเอกชน เพื่อรักษาตามสิทธิ์การรักษา ส่วนรพ.เอกชนที่ออกแพคเกจอาจเป็นเรื่องการอำนวยความสะดวกสบาย  เพื่อให้ผู้ป่วยที่สามารถจ่ายได้มีทางเลือกตรงนี้    อย่างไรก็ตาม กรณีเช่นนี้มีอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า  ทำได้หรือไม่ หรือกรอบไหนทำไม่ได้ ก็จะมีการตรวจสอบให้ชัดเจน

“เรื่องนี้เป็นเรื่องการซื้อความสะดวก หากเขาทำแบบนี้และพิสูจน์ได้ว่า อำนวยความสะดวกได้จริงและไม่ผิดหลักเกณฑ์ใดๆ ก็น่าจะทำได้ และประชาชนก็ได้ความสะดวกสบาย แต่หากมีกรณีไหนที่เข้าข่ายทำผิด หรือยังไม่ชัดเจน  ให้สอบถามมายังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เพื่อตรวจสอบ แต่ต้องมีหลักฐาน ไม่ใช่เขาบอกมา ที่ผ่านมายังไม่เห็นหลักฐานชัดเจน ถ้ามีส่งมาเลย ทุกวันนี้ก็ยังปิดรพ.เอกชนไม่ได้สักแห่ง” นายอนุทิน กล่าว

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า หากเป็นคนไข้โควิดไปรักษาในรพ.ตามสิทธิ์ เป็นไปตามระบบนั้น โรงพยาบาลที่รักษาตามสิทธิ์นั้นๆ ย่อมไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ เพราะรัฐเป็นผู้สนับสนุนยาไปยังโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังโรงพยาบาลเอกชนจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการอำนวยความสะดวกสบาย และมีกำลังจ่าย เพียงแต่การรักษาต้องเป็นไปตามมาตรฐานการรักษาทางการแพทย์

เมื่อถามว่ากรณีรพ.เอกชนระบุแพคเกจให้คนไข้เลือกว่าจะใช้ยาประเภทใด นพ.ธเรศ กล่าวว่า จริงๆสามารถทำได้ แต่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งยาส่วนนี้จะเป็นของเอกชน  เนื่องจากปัจจุบันในส่วนของรัฐจะเตรียมยาไว้ให้กรณีรพ.เอกชนที่ดูแลคนไข้ตามสิทธิ์ แต่ยังมีอีกกลุ่มที่มาขึ้นทะเบียน และเอกชนสามารถซื้อขายตามระบบปกติได้

อธิบดี สบส. กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญการออกแพคเกจใดๆ ต้องอิงอาการคนไข้เป็นหลัก ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการรักษา และมาตรฐานสถานพยาบาล แต่เมื่อมีข้อคิดเห็นกรณีนี้เข้ามา เราจะมีการประชุมหารือและกำชับรพ.เอกชน ในการปฏิบัติเรื่องนี้ให้ถูกต้อง ซึ่งสัปดาห์นี้จะมีการหารือร่วมกับเอกชนอีกครั้ง โดยหากใครเจอเรื่องลักษณะนี้หรือสงสัยว่า รพ.เอกชนทำได้หรือไม่ให้แจ้งมาที่ สบส. เพื่อตรวจสอบต่อไป

 “การออกแพคเกจต้องแจ้งล่วงหน้า และแจ้งราคาให้ประชาชนทราบล่วงหน้า แต่ที่สำคัญการให้ยาต้องรักษาตามอาการ ตามมาตรฐาน หากทำผิดนอกเหนือจากนั้น จะผิดทั้งพรบ.สถานพยาบาลฯ และหากแพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายนอกเหนืออาการก็จะเข้าข่ายผิดเรื่องการประกอบวิชาชีพ จะเป็นในส่วนของแพทยสภาตรวจสอบ” อธิบดี สบส. กล่าว

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org