ศบค.เห็นชอบสถานการณ์โควิดลดลง! ขณะนี้อยู่ในระยะ 3  คาด 1 ก.ค.65 เป็น Post Pandemic ระยะหลังการระบาด ส่วนการถอดแมสก์ขอให้เป็นไปตามความสมัครใจ แต่ย้ำ! กลุ่ม 608 ขอให้ใส่ รวมถึงสถานที่เสี่ยง ที่แออัด มอบกรมอนามัยจัดทำแนวทางต่อไป

เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2565   นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) แถลงภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่า  สถานการณ์โควิด-19 ตัวเลขติดเชื้อลดลงเรื่อยๆ วันนี้มีรายใหม่ 1,967 ราย หายป่วยมากกว่า 2,123 ราย เสียชีวิต 19 ราย อัตราการครองเตียงระดับ 2-3 ประมาณ 9.3% มีพื้นที่เตียงยังว่าง เน้นย้ำว่าถ้าศักยภาพสาธารณสุขไปได้ดี ก็สามารถเปิดกิจการกิจกรรมเพิ่มขึ้น  ขณะนี้อยู่ในระยะที่ 3 ระยะขาลง (Declining) ฉะนั้น 1 ก.ค.มีโอกาสเป็น Post Pandemic ระยะหลังการระบาด ก็ต้องขอให้ร่วมมือกันเหมือนเดิม โดยขณะนี้ 50 จังหวัดอยู่ในทิศทางลดลง มี 17 จังหวัดลดลงแล้วแต่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กๆ ได้แก่ กทม. ภูเก็ต อุบลราชธานี ชัยนาท ตราด ยโสธร อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ สตูล ชลบุรี สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี เพชรบุรี สมุทรสาคร กระบี่ และพิจิตร จึงต้องให้มีมาตรการป้องกันเฝ้าระวังเพื่อไม่ให้เป็นภาระในเรื่องการรักษา

 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า  มาตรการผ่อนคลายทางสังคม ที่หลายคนอยากทราบคือเรื่องการสวมหน้ากาก นายกฯ ขอบคุณคนไทยที่ร่วมมือใส่หน้ากากกันถ้วนหน้า ทำให้เป็นเครื่องมือป้องกันโรคโควิดและโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ท่านขอให้เป็นความสมัครใจ ส่วนใหญ่ขอให้ต้องใช้ เพราะเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะคนกลุ่มเสี่ยง 608 ไม่ได้รับวัคซีน ผู้ที่ติดเชื้อ มีความเสี่ยงสูงต้องใช้เมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่น ส่วนคนกลุ่มอื่นผ่อนคลายได้

 

สำหรับประชาชนคนทั่วไปมี 2 ข้อ คือ สถานที่ภายนอกอาคารโล่งแจ้ง ให้สวมเมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น โดยไม่สามารถเว้นระยะห่าง มีความแออัด รวมกลุ่มคนจำนวนมาก ระบายอากาศไม่ดี เช่น ขนส่งสาะธารณะ ตลาด สนามกีฬา สถานที่แสดงดนตรีมีผู้ชมจำนวนมาก ฯลฯ และ 2.ภายในอาคาร ยังอยากให้สวมหน้ากาก และถอดหน้ากากกรณีอยู่คนเดียว หรืออยู่ร่วมกับบุคคลอื่นที่ไม่ได้พำนักเดียวกัน ต้องสามารถเว้นระยะห่างได้ ไม่รวมกลุ่มแออัด และอยู่ในที่ระบายอากาศได้ดี มีกิจกรรมที่จำเป็นต้องถอดหน้ากาก เช่น รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย บริการบริเวณใบหน้า ศิลปะการแสดง ฯลฯ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เมื่อกิจกรรมนั้นเสร็จสิ้นควรสวมหน้ากากทันที

 

"นี่คือความห่วงใยที่ค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา ที่ประชุมพูดถึงความสำคัญเรื่องนี้ว่า ในต่างประเทศการสวมหน้ากากบางครั้งแสดงถึงว่าจะเป็นผู้ติดเชื้ออย่างเดียว กลุ่มนี้จะน่ารังเกียจในการบูลลีแสดงทัศนคติไม่ดีกับคนสวมหน้ากาก ก็ต้องประชาสัมพันธ์ว่า ใครสวมหน้ากากอาจจะเป็นคนรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อหรือมีความเสี่ยงสูงอย่างเดียว ใครรักสุขภาพรักตัวเองต้องการใช้หน้ากากดูแลสุขภาพตัวเอง บางคนอยู่พื้นที่มีฝุ่นละอองที่ทนไม่ได้ หรือแพ้ก็มีสิทธิในการใส่ จึงอยากให้เป็นภาพของสมัครใจในการสวมหน้ากาก บางคนบอกอยากให้ถอดหน้ากาก แต่บางคนยังไม่อยากถอดก็ให้เป้นเรื่องความสมัครใจ อยากให้คงกันไว้อยู่" นพ.ทวีศิลป์กล่าว และว่า อธิบดีกรมอนามัยจะจัดทำรายละเอียดแนวทางต่างๆ จะประกาศใช้เมื่อไรจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า เรื่องดื่มสุราและสถานบันเทิงใช้เวลาในการพิจารณามากพอสมควร เพราะมีข้อเรียกร้องเปิดถึง 02.00 น. เมื่อไปดูกฎหมายแล้ว มีเชื่อมโยง 3 ฉบับ คือ พ.ร.บ.สถานบริการ วึ่งมีสถานบริการหลายประเภท กฎกระทรวงกำหนดวันเวลาเปิดปิดสถานบริการ พ.ศ.2547 มีการกำหนดโซนนิ่ง เวลาเปิดปิดก็เหลื่อมกันสูงสุดคือ 01.00 น. แต่สถานที่เต้นรำ 02.00 น. และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2558 เรื่องเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงมอบให้ฝ่ายกฎหมาย เลขา สมช.ไปหาข้อสรุปมา ขั้นตอนคือดูกฎหมายเก่าและมาผ่อนคลายอย่างไร ซึ่งต้องไปผ่านกระบวนการจัดการกฎหมายและเสนอ ครม. โดยนายกฯ ขอให้ทำให้เร็วที่สุด ถ้าให้เร็วคืออยากให้เกิดวันที่ 1 ก.ค. แต่ต้องขอเวลาฝ่ายต่างๆ ทำงานก่อน วันเวลาจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง เมื่อกฎหมายถูกรวบรวมและแก้ไขอย่างถูกต้อง

 

 

นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า   การปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค. ยกเว้นการลงทะเบียนระบบ Thailand Pass ทั้งต่างชาติและคนไทย ต้องแสดงผลการฉีดวัคซีน มีการสุ่มตรวจผู้เดินทาง หากไม่มีเอกสารใดๆรับรอง จะดำเนินการตรวจ Professional ATK ที่สนามบิน จนกว่าจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งนี้ จะยังคงระบบและเปลี่ยนหน้าที่ของ Thailand Pass สำหรับโควิดเพื่อให้ผู้เดินทางใช้แต้งรายงานกรณีมีอาการสงสัยโรคติดต่ออันตรายและโรคติดต่อที่ต้องรายงานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขต่อไป ซึ่งครอบคลุมการผ่านแดนทางบกด้วย ซึ่งมี 39 จุดด่านผ่านแดนถาวร ส่วนเรื่องเงินประกันยกเลิกไม่ต้องกำหนดวงเงิน แต่ส่งเสริมให้ซื้อประกัน ไม่ให้เป้นภาระเมื่อเจ็บป่วยในไทย ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบประกาศได้ตั้งแต่ 1 ก.ค.

 

 *สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org