“อนุทิน” เชื่อ “ชัชชาติ” ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ ให้ความสำคัญงานสาธารณสุข หลังที่ผ่านมามีปัญหา

รองนายกฯ-รัฐมนตรีว่าการสธ. ส่งสัญญาณถึง “ชัชชาติ”  ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ มั่นใจให้ความสำคัญดูแลสุขภาพและการให้บริการสาธารณสุข เพราะเป็นพื้นที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตกระทรวงฯ ที่ผ่านมามีปัญหาจากการแยกกันทำงาน

เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2565  ที่กระทรวงสาธารณสุข  นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขตอนหนึ่ง ว่า   กกต.ให้การรับรองผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่าฯ ท่านใหม่ ซึ่งตนมั่นใจว่าผู้ว่าฯ ชัชชาติ จะให้ความสำคัญในเรื่องการดูแลสุขภาพการให้บริการสาธารณสุขในกรุงเทพมหานคร  ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการดูแลของกระทรวงสาธารณสุข เพราะที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่า มีปัญหาอย่างไรจากการแยกกันทำงาน ก็ไม่เป็นสิ่งที่ดี

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า  กระทรวงสาธารณสุขเองก็หารือกัน และหวังว่าหลังจากมีท่านผู้ว่าฯ ท่านใหม่ ทางกระทรวงสาธารณสุขพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ในการให้บริการทางด้านสาธารณสุขแก่พี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร ตามนโยบายผู้ว่าฯ เพื่อให้เกิดการรวมพลังต่อไป  ไม่ต้องแยกงานกันทำเหมือนที่แล้วมา  เพราะกระทรวงสาธารณสุขยังรับผิดชอบระบบสุขภาพภาพรวมอยู่ แต่ไม่สามารถเข้าไปสั่งการ บริหารในพื้นที่เฉพาะใด ๆ ได้ก็ทำให้เกิดปัญหา  ซึ่ง หาก กทม.สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ก็เท่ากับว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ค่อนประเทศแล้ว เพราะเป็นจุดที่มีคนมาก มีการกระจายคนเข้า-ออก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการติดต่อของโรคได้ หากเราให้ความร่วมมือกันก็จะดูแลครอบคลุมสถานการณ์ในระดับประเทศได้

"ระบบการสาธารณสุข ในส่วนที่กระทรวงสาธารณสุขสามารถบริหารสถานการณ์ได้ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายที่มี เช่น ระดับภูมิภาค เรามีเครือข่ายที่เข็มแข็งมาก มีรพ.ระดับจังหวัด รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป รพ.ชุมชน และ รพ.สต.  แม้กระทั่ง อสม. พูดง่ายๆ เหมือนสิงห์ภูธร แต่พอเข้าเมืองหลวง การทำงานเต็มที่ก็ทำไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ การประสานงานการ support ซึ่งกันและกันก็มีปัญหา ดังนั้น ในวันนี้กทม.มีบริบทใหม่ของการบริหารขึ้นมา หวังว่า กทม.น่าจะเห็นประโยชน์ของการทำงานร่วมกันกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน" นายอนุทิน กล่าว

ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org