เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ  "ThaiHealth Academy"   หรือ สถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ  หน่วยงานภายใต้ สสส. กับบทบาทพัฒนาหลักสูตรบุคคลสู่สุขภาวะที่ดีด้านต่างๆ ทั้งการสื่อสาร การพัฒนาศักยภาพการทำงานยุคโควิด-19 

เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ  "ThaiHealth Academy"   หรือ สถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ  เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2565 บริเวณชั้น 34 อาคาร SM Tower เขตพญาไท กรุงเทพฯ   โดยสถาบันดังกล่าว นับเป็นอีกหน่วยงานภายใต้ระเบียบกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพว่าด้วยการจัดตั้งและการบริหารสถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2563 ประกาศเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา 

หลายคนอาจตั้งคำถามว่า สถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ   หรือ ThaiHealth Academy มีบทบาทหน้าที่อย่างไร และแตกต่างจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อย่างไร...

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส.  อธิบายภายในงานเปิดตัว สถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ OPEN HOUSE: ThaiHealth Academy เป็นทางการครั้งแรก ว่า ThaiHealth Academy  จัดตั้งขึ้นด้วยเหตุผลสองประการสำคัญ คือ 1. ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของบุคคลด้านการสร้างเสริมสุขภาพให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  ตามเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นของ สสส. ในการสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถ (Competency Development) ของภาคีเครือข่าย สสส. ในฐานะหุ้นส่วนสำคัญ (Partner) ที่ร่วมขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาวะในประเทศ  และ 2. มุ่งขยายฐานผู้รับประโยชน์ไปยังกลุ่มบุคคล หน่วยงาน และองค์กรภาคสังคมต่างๆ ตลอดจนภาคเอกชน ในการสร้าง “นักสร้างเสริมสุขภาพมืออาชีพ” ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการก่อให้เกิดสังคมสุขภาวะทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

ดร.สุปรีดา กล่าวอีกว่า ในปี 2565 มีการพัฒนาหลักสูตรตามสมรรถนะหลักที่จำเป็นในการขับเลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพ (ThaiHealth Core Competency) การจัดอบรมพัฒนาศักยภาพ จัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต การประชุมวิชาการ ตลอดจนให้บริการทางวิชาการ ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ภาคีเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพ และการสร้างพันธมิตรความร่วมมือเพื่อการขยายหลักสูตรหรือขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผู้รับประโยชน์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเกิดหลักสูตร งานพัฒนาศักยภาพภาคี 21 หลักสูตร งานพัฒนาหลักสูตร หน่วยงานภายนอก 30 หลักสูตร มีผู้ได้รับประโยชน์เข้าร่วมอบรมจำนวนกว่า 2,600 ราย 

"สสส. มุ่งหวัง ที่จะเห็นสถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งใจไว้ คือ พัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายอย่างเป็นระบบ สามารถพัฒนาขีดความสามารถ และยกระดับภาคีเครือข่ายให้เป็น “นักสร้างเสริมสุขภาวะมืออาชีพ” และได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ" ผู้จัดการ กองทุน สสส.กล่าว

​รศ. ดร.นพ. นันทวัช สิทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ อธิบายเพิ่มว่า   สถาบันฯ มีทิศทางและยุทธศาสตร์การดำเนินงานที่ชัดเจน เป็นองค์กรรูปแบบกึ่งธุรกิจที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดยเรามุ่งพัฒนาศักยภาพบุคคล คนที่ทำงานด้านสุขภาวะทั้งหลายให้สามารถทำงานด้านนี้อย่างมีความสุข และสามารถเปลี่ยนสังคมให้มีสุขภาวะมากขึ้น ซึ่งเรามีหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพคนเป็นสำคัญ ทั้งการทำงานในทีม ทำงานนโยบาย การประสานงานระดับกว้าง และสิ่งสำคัญเราต้องการให้สังคมดีขึ้น 

"อย่างช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา เราได้จัดทำหลักสูตรพัฒนาบุคคลเกี่ยวกับ Home Isolation (HI) และ Community Isolation (CI) ซึ่งจัดทำเป็นหลักสูตรออนไลน์ มีอาสาสมัครในชุมชนมาสมัครเรียนหลักสูตรนี้ และยังได้ร่วมกับมูลนิธิดูแลเด็ก เรามีหลักสูตรพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ให้สามารถดูแลผู้ป่วย ไม่เพียงแต่ใน CI แต่ในชุมชนด้วย ซึ่งเราอบรมแบบ ZOOM และยังมีการติดตามผ่านกรุ๊ปไลน์อีกด้วย นอกจากนี้ ในอนาคตจะมีหลักสูตรผลักดันด้านนโยบายให้สื่อออกไปได้จริงๆ เพื่อให้งานส่งผลระยะกว้างด้วยเช่นกัน" ผู้อำนวยการสถาบันฯ กล่าว

อย่างไรก็ตาม จากเป้าหมายการทำงาน บุคลากรที่ทำงานในสถาบันฯ เรามี 15  ตำแหน่งในการขับเคลื่อน ซึ่งเราไม่ได้มุ่งเน้นคนมาก แต่เรามุ่งเน้นศักยภาพและความร่วมมือในวงกว้างเพื่อให้เกิดผลของงานอย่างวงกว้าง และมีประสิทธิภาพ

รศ. ดร.นพ. นันทวัช กล่าวว่า นอกจากเราจะมีการอบรมหลักสูตรต่างๆแล้ว เรายังมีศึกษาดูงานในพื้นที่ มีการถอดความรู้เพื่อกระจายวงกว้าง โดยเราจะไปสกัดความรู้นั้นออกมาว่า ทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จและนำมาเผยแพร่เพื่อขยายฐานให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด ที่สำคัญใครที่อบรมกับเรา เรายังติดตามผลการอบรมไปอย่างน้อยอีก 1 ปี รวมทั้งจะมีการจัดประชุมวิชาการระดมคนที่อบรมกับทางสถาบันฯ ว่า ได้ประโยชน์อะไร อย่างไร

หลักการพื้นฐานที่ สสส. วางไว้เป็นต้นแบบในการพัฒนาองค์ความรู้ คือ 5+2 Core Competency  ประกอบไปด้วย 5 สมรรถนะหลัก คือ การสร้างเสริมสุขภาวะ, การบริหารโครงการสุขภาวะ, การสื่อสารเพื่อสังคมสุขภาวะ, การสร้างและบริหารเครือข่าย, ผู้นำและทักษะในการจัดการในงานสุขภาวะ และอีก 2 สมรรถนะ คือ การจัดการความรู้ และการจัดการความยั่งยืน 

"เราวางเป้าหมายว่า ใน 1   ปีแรกต้องทำให้คนรู้ว่าเราทำงานด้านพัฒนาศักยภาพบุคคลด้านการสร้างเสริมสุขภาวะ และก่อให้เกิดประโยชน์จริง โดยช่วง 1-5 ปีแรกจะเน้นการทำงานภายในประเทศ และหลังจากนั้นจะร่วมมือกับประเทศต่างๆ ที่มีหน่วยงานด้านสร้างเสริมสุขภาวะ  โดยพิจารณาว่า ของไทยจะขยายฐานได้หรือไม่ หรือของเขาหากมีอะไรดีๆ มาร่วมมือกันได้หรือไม่ ซึ่งจะเน้นร่วมมือกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนขยายไปทั่วโลก สิ่งสำคัญ คือ เราต้องการให้เกิดนักเปลี่ยนแปลงสังคม ทำให้โลกมีสุขภาวะมากขึ้น" ผอ.สถาบันฯ กล่าวทิ้งท้าย

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org