สธ. เปิดประสิทธิผลวัคซีนโควิดใน "กลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง" ใช้จริงระดับประเทศรายเดือน ก.ค.-ธ.ค. 64 ภาพรวมฉีด 2 เข็มป้องกันติดเชื้อ 65% ป้องกันป่วยรุนแรง/ตาย 88% ส่วน 3 เข็มป้องกันติดเชื้อสูงถึง 94% ป้องกันป่วยหนัก/ตายสูงถึง 98% ขณะที่ผลศึกษาเชียงใหม่เดือน ม.ค.เฉลี่ย 5 สูตรฉีดบูสเตอร์โดสป้องกันโอมิครอนเฉลี่ย 62-78% ป้องกันเสียชีวิต 96%
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2565 นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค(คร.) แถลงข่าวประสิทธิผลวัคซีนป้องกันโควิด19 ว่า ข้อมูลประสิทธิผลวัคซีนโควิด 19 จากการใช้จริงของประเทศไทย โดยข้อมูลชุดแรกศึกษาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ซึ่งเป็นข้อมูลในช่วงเดือน ก.ค.- ธ.ค.2564 เป็นช่วงที่ไทยเจอการระบาดสายพันธุ์เดลตา และปลายธ.ค. เจอโอมิครอนบ้าง
สำหรับประสิทธิผลการป้องกันวัคซีนจะเริ่มศึกษาคนที่ได้รับวัคซีน 2 เข็ม มีประสิทธิผลการป้องกันการติดเชื้อเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ติดเชื้ออยู่ที่ 65% ส่วนการป้องกันป่วยรุนแรง/เสียชีวิต สูงขึ้น 88% ส่วนคนที่ได้รับวัคซีน 3 เข็ม พบว่าเพิ่มประสิทธผลสูงขึ้น โดยตัวเลขเมื่อเทียบกันแล้วสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ถึง 94% ส่วนป้องกันป่วยรุนแรงเสียชีวิตเพิ่มสูงถึง 98%
อย่างไรก็ตาม การประเมินประสิทธิผลวัคซีนได้ทำต่อเนื่องรายเดือนตั้งแต่เดือน ก.ค. ไปจนถึงธ.ค.2564 โดยพบว่า ผู้ได้รับวัคซีน 2 เข็ม ประสิทธิผลในช่วงเดือน ก.ค. ประสิทธิผลเคยสูงถึง 81% แต่เมื่อเวลาผ่านไปลดลงจนถึง ธ.ค. ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อลดเหลือ 50% แต่คนที่ฉีด 2 เข็ม ในแง่การป้องกันป่วยรุนแรงเสียชีวิตลดลงไม่มาก จาก 89% ในเดือน ก.ค. และเหลือ 79% ในเดือน ธ.ค. แสดงว่าฉีด 2 เข็มป้องกันการติดได้ในช่วงแรกแล้วจะลดลง แต่ยังป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้
ทั้งนี้ ข้อดีของการฉีดเข็ม 3 พบว่าคนที่ได้ฉีดบูสเตอร์เข็ม 3 การป้องกันการติดเชื้อยังสูงต่อเนื่องเกือบ 90% จาก 82% ในเดือน ก.ค. เพิ่มเป็น 90% ในเดือน ธ.ค. ส่วนการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงจาก 94% เพิ่มเป็น 96%
เมื่อเทียบประสิทธิผลวัคซีนช่วงการระบาดเชื้อสายพันธุ์เดลต้า ช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.2564 กับสายพันธุ์โอมิครอน ช่วงเดือน ม.ค.2565 จากข้อมูล จ.เชียงใหม่ การฉีด 2 เข็ม ช่วงเดลต้าระบาด ป้องกันการติดเชื้อได้ 71% ป้องกันเสียชีวิตถึง 97% ช่วงโอมิครอนระบาด ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ป้องกันการเสียชีวิตได้ 89%
แต่สำหรับผู้ได้รับวัคซีน 3 เข็ม ช่วงการระบาดเดลต้า ป้องกันการติดเชื้อได้ 93% ป้องกันการเสียชีวิตได้ 99% แต่ช่วงระบาดของโอมิครอน แต่ละสูตรป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ไม่เท่ากัน โดยสูตรซิโนแวค 2 เข็มตามด้วยแอสตร้าเซเนก้า ป้องกันการติดเชื้อโอมิครอนได้ 78% สูตรซิโนแวค 2 เข็มตามด้วยไฟเซอร์ป้องกันได้ 63% สูตรซิโนฟาร์ม 2 เข็มตามด้วยไฟเซอร์ ป้องกันได้ 66% สูตรไขว้ซิโนแวค 1 เข็ม ตามด้วยแอสตร้าฯ 2 เข็ม ป้องกันได้ 68% สูตรแอสตร้าฯ 2 เข็ม ตามด้วยไฟเซอร์ ป้องกันได้ 62%
"เมื่อเฉลี่ยทั้ง 5 สูตร สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 68% แต่เข็ม 3 ทุกสูตรสามารถป้องกันการเสียชีวิตจากโอมิครอนได้ 96% โดยการกระตุ้นด้วยวัคซีนเวกเตอร์ไวรัส ( Viral vector) หรือ mRNA มีผลไม่ต่างกัน สรุป คือ วัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยช่วงปีที่ผ่านมาช่วยป้องกันการติดเชื้อ ป้องกันการป่วยรุนแรงได้ค่อนข้างดีมาก แต่ฉีดเพียง 2 เข็มแม้ป้องกันป่วยและเสียชีวิตได้แต่ป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนไม่ได้ จำเป็นต้องฉีดกระตุ้นเข็ม 3" นพ.ทวีทรัพย์ กล่าว
***ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลเบื้องต้นประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโควิดใช้จริงในระดับประเทศ ศึกษากลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงรายเดือน 6 เดือน(ก.ค.-ธ.ค.64) แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีน 2 โดส และ 3 โดส ดังนี้
*เดือน ก.ค. 2564
-ฉีดวัคซีน 2 โดส ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ 81% ป้องกันป่วยรุนแรง/ตาย 89%
-ฉีดวัคซีน 3 โดส ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ 82%
*เดือน ส.ค.2564
-ฉีดวัคซีน 2 โดส ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ 69% ป้องกันป่วยรุนแรง/ตาย 89%
-ฉีดวัคซีน 3 โดส ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ 97% ป้องกันป่วยรุนแรง/ตาย 94%
*เดือน ก.ย.2564
-ฉีดวัคซีน 2 โดส ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ 64 % ป้องกันป่วยรุนแรง/ตาย 88%
-ฉีดวัคซีน 3 โดส ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ 95% ป้องกันป่วยรุนแรง/ตาย 98%
*เดือน ต.ค.2564
-ฉีดวัคซีน 2 โดส ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ 59% ป้องกันป่วยรุนแรง/ตาย 89%
-ฉีดวัคซีน 3 โดส ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ 92% ป้องกันป่วยรุนแรง/ตาย 99%
*เดือน พ.ย.2564
-ฉีดวัคซีน 2 โดส ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ 57% ป้องกันป่วยรุนแรง/ตาย 88%
-ฉีดวัคซีน 3 โดส ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ 92 %
*เดือน ธ.ค.2564
-ฉีดวัคซีน 2 โดส ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ 50% ป้องกันป่วยรุนแรง/ตาย 79%
-ฉีดวัคซีน 3 โดส ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ 90% ป้องกันป่วยรุนแรง/ตาย 96%
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
- 252 views