“อนุทิน” เผยองค์การอนามัยโลกขอให้ทุกประเทศทั่วโลกฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเกิน 40% ในสิ้นปีนี้ พร้อมย้ำขอประเทศเข้าถึงวัคซีนเผื่อแผ่วัคซีนให้ประเทศไม่มีอำนาจเข้าถึงด้วย เพราะโควิดเป็นวาระโลก สอดคล้องนโยบายไทย เล็งหมุนเวียนช่วยประเทศเข้าถึงวัคซีนไม่ได้

เมื่อวันที่ 30 พ.ย.  นายอนุทินชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.)  พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารกรมควบคุมโรคและกระทรวงการต่างประเทศร่วมการประชุมสมัชชาอนามัยโลกสมัยพิเศษ ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2564 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดย นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุมองค์การอนามัยโลก ว่าครั้งนี้เป็นการประชุมวาระพิเศษ ซึ่งมีการหารือกันในหลายๆ เรื่อง หนึ่งในนั้น คือ การสนับสนุนให้มีการจัดทำกฎหมายควบคุมป้องกันโรคระหว่างประเทศให้มีความเข้มข้น เพราะที่ผ่านมาเรายังไม่ได้มีการปฏิบัติต่อกันโดยใช้ข้อกฎหมาย แต่ใช้หลักการของความร่วมมือ ดังนั้น จะทำกฎหมายให้มีความเข้มข้นขึ้นโดยตั้งคณะทำงานสรุปและจัดทำเนื้อหาต่อไป ซึ่งประเทศไทยก็สนับสนุนในเรื่องนี้

 

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังมีการพูดคุยถึงการระบาดของโควิด 19 สายพันธุ์โอไมครอน ว่า ถ้าทุกประเทศให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีน การเว้นระยะห่างและการปฏิบัติตัวตามวิถีชีวิตใหม่ ที่มีการป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด ก็จะสามารถป้องกันสายพันธุ์โอไมครอนได้ ทั้งนี้ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ได้พูดในที่ประชุมว่าขอให้ทุกประเทศเร่งฉีดวัคซีน ซึ่งภายในสิ้นปีนี้ประชากรโลกอย่างน้อยควรได้รับวัคซีนครอบคลุม 40% และให้ได้ 70% ในกลางปีหน้า ซึ่งในส่วนของประเทศไทยถือว่าโชคดีเพราะขณะนี้สามารถฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรได้กว่า 70% แล้ว

อย่างไรก็ตาม ผอ. องค์การอนามัยโลก ได้ย้ำถึงเรื่องของการเข้าถึงวัคซีน ซึ่งปัจจุบันจะพบว่าส่วนใหญ่แล้วประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างดีจะได้รับวัคซีนจำนวนมาก ส่วนประเทศยากจน มีอำนาจในการต่อรองน้อย มีอัตราการฉีดวัคซีนน้อยเพียง 0.4 % แม้จะดีขึ้นในระยะหลัง ดังนั้น ขอให้ประเทศที่สามารถเข้าถึงวัคซีนคิดถึงเรื่องของการเผื่อแผ่วัคซีนให้กับประเทศเหล่านี้ด้วย เพราะโควิด-19 ถือเป็นวาระของโลก เพราะการปลอดภัยคนเดียวไม่สามารถป้องกันโรคโควิดอย่างเด็ดขาดได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ตรงกับนโยบายของรัฐบาลนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้เร่งดำเนินการฉีดให้กับคนไทยและคนต่างชาติที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทย

“จากนี้หากมีการบริหารจัดการวัคซีนที่เพียงพอก็จะมีการพิจารณา หมุนเวียนวัคซีนให้กับประเทศอื่นๆ ด้วย เรื่องนี้ได้คุยกับทางกระทรวงการต่างประเทศและท่านนายกรัฐมนตรีแล้วว่าหากประเทศไทยจัดการวัคซีนได้ดี ก็จะมีการบริหาร ส่งต่อให้กับประเทศที่ต้องการวัคซีนต่อไป” นายอนุทิน กล่าว