เมื่อวันที่ 15 เมษายน มีกรณีแชร์ข้อมูลโพสต์บนโซเชียลมีเดีย Facebook และ Instagram เตือนหญิงสาวที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์หลายคนว่า พวกเธออาจได้รับอันตรายร้ายแรงได้จากการอยู่ใกล้ผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ได้ ในข้อความได้มีการระบุเพิ่มเติมอีกกว่า ต่างประสบกับปัญหาประจำเดือนมาช้าผิดปกติ อาจเป็นระดูยาว อาการตกเลือด เกิดลิ่มเลือดในประจำเดือน แท้งบุตร มีภาวะเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน ปวดประจำเดือนมากผิดปกติ เป็นต้น ซึ่งโพสต์ส่วนใหญ่เหล่านี้ล้วนอ้างอิงมาจากเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้เข้าใจผิดได้ อีกทั้งไม่มีการทิ้งลิงค์ข้อมูลที่เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในวัฏจักรของผู้หญิงหรือภาวะเจริญพันธุ์ นอกจากนี้ ไม่มีกลไกใดที่ผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอาจได้รับผลข้างเคียงจากผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนสำหรับโควิด-19 ตามที่โพสต์กล่าวอ้าง
Dr. Jennifer Gunter นรีแพทย์ เจ้าของบทความเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวัคซีนกับอนามัยการเจริญพันธุ์ของสตรี กล่าวอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีองค์ประกอบในวัคซีนใด ๆ ที่สามารถส่งต่อไปยังบุคคลอื่นได้
"ทั้งวัคซีนไฟเซอร์หรือโมเดอร์นาที่ใช้เทคโนโลยี mRNA หรือวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (ซึ่งใช้ไวรัสเป็นพาหะนำโรค) ไม่อาจส่งผลกระทบต่อบุคคลที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งรวมถึงการมีประจำเดือน ภาวะเจริญพันธุ์ และ การตั้งครรภ์” Gunter เขียนไว้ในบล็อกโพสต์ “หากพูดให้ชัดเจน วัคซีนโควิด-19 ไม่สามารถส่งผลกระทบกับใครก็ได้โดยการผ่านตัวแทน”
เมื่อนำมาพิจาณณาข้อเท็จจริง พบว่า ชุดข้อมูลที่กล่าวในข้างต้นไม่เป็นความจริง เพราะวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในสหรัฐอเมริกาสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อยทางกายภาพ เช่น มีไข้ต่ำ ปวดตามร่างกาย และเจ็บบริเวณที่ฉีด แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้ (หรือผลข้างเคียงใดๆ) ไม่สามารถส่งต่อให้ผู้อื่นได้ ไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนชนิดใด ๆ เป็นปัจจัยเชิงสาเหตุในผู้ที่มีรอบเดือนมาไม่ปกติหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน และไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนก่อให้เกิดปัญหาการสืบพันธุ์หรือการเป็นหมัน
อย่างไรก็ตาม รอบประจำเดือนของผู้หญิงอาจผันผวนได้เนื่องจากปัจจัยหลายประการ รวมทั้งการบริโภคอาหาร ความเครียด การออกกำลังกาย การเจ็บป่วย และการตั้งครรภ์ ทั้งนี้มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสตรีที่ตั้งครรภ์เป็นกลุ่มที่ความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากที่สุด ทำให้เป็นกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องมากกว่า แม้ผลข้างเคียงจากวัคซีนยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่ม แต่ก็ยังไม่มีการพบว่าการฉีดวัคซีนจะส่งผลต่อการเกิดประจำเดือนมาไม่ปกติหรือปัญหาการตั้งครรภ์ และชุดข้อมูลในปัจจุบันยืนยันได้ว่าการฉีดวัคซีนมีความปลอดภัยเพียงพอ
“หากคุณกำลังพยายามจะตั้งครรภ์ตอนนี้หรือต้องการจะตั้งครรภ์ในอนาคต คุณอาจได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เมื่อวัคซีนนั้นหาได้” CDC ให้คำแนะนำและเสริมว่าวัคซีนดังกล่าวจะได้รับการศึกษาอย่างดีใน อนาคต. “ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนใดๆ รวมถึงวัคซีนโควิด-19 ทำให้เกิดปัญหาการเจริญพันธุ์”
หน่วยงานป้องกันโรคติดต่อในสหรัฐอเมริกา (CDC) ระบุว่า แนะนำให้สตรีผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือต้องการตั้งครรภ์ในอนาคต ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเมื่อมีโอกาส เพราะวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นปลอดภัย และไม่มีหลักฐานพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากหรือปัญหาอื่น ๆ ในการตั้งครรภ์แต่อย่างใด
แหล่งที่มา
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=10158931066701071&id=512736070
PolitiFact The Poynter Institute
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
- 1357 views