หลังจากที่มีบทความแชร์ตามโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์บางแห่งแนะนำสูตรยาแอสไพรินมาบดแล้วเติมน้ำแร่ให้กลายสภาพเป็นครีม ใช้ในการพอกหน้า 15 นาที ช่วยให้ขาวใส และสามารถลดรอยสิวจากธรรมชาติ เครือข่ายความร่วมมือตรวจสอบข่าวปลอม Cofact.org ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

สูตรการใช้ยาแอสไพรินบดผสมกับน้ำแร่นั้นเพื่อทำให้หน้าขาวใสนั้นมี เริ่มมีผู้นำมาเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับความสวยความงามตั้งแต่ปลายปี 2558

เว็บไซต์ดังกล่าวระบุด้วยว่า สาเหตุที่ทำให้ยาแอสไพรินสามารถเอามารักษาสิวได้ เนื่องจากคุณสมบัติของแอสไพริน เหมือนกับตัว Salicylic acid ซึ่งเป็นตัวยาที่ใช้รักษาสิวโดยตรง อีกทั้งมีคุณสมบัติที่เหมือนกัน อาทิ ช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ดี เพราะมีความเป็น BHA อ่อนๆ ,ลดความมันบนผิวหน้า ,ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ที่เป็นอีกสาเหตุที่ก่อให้เกิดสิว ,ลดการอุดตันบนผิว หรือลดสิวอุดตันนั้นเอง ,ลดอาการอักเสบของสิว เป็นต้น

นอกเหนือจากสรรพคุณต่างๆแล้ว ยังมี 2 สูตรกับวิธีทำที่เผยแพร่บนเว็บไซต์จนเป็นที่นิยมคือ สูตรแต้มสิว กับ สูตร์มาสก์หน้า ดังนี้

“บดเม็ดยาแอสไพรินให้ละเอียด นำยาที่บดแล้วมาละลายกับน้ำ 1 ช้อนชา ถ้ายังละลายไม่หมดสามารถเพิ่มน้ำอีกนิดแล้วน้ำเข้าไมโครเวฟสัก 1-2 วินาทีได้ หายร้อนแล้วค่อยนำมาแต้มสิวเม็ดที่อักเสบได้เลย สามารถแต้มทิ้งไว้ก่อนนอนแล้วค่อยตื่นมาล้างออก ขอการันตีว่าลองแล้วยุบจริงอะไรจริง ไว้ใช้จัดการกับสิวอักเสบเม็ดเป่ง ที่อยู่ๆก็โผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุย แนะนำให้เจาะเอาหัวสิวออกก่อนด้วยนะจ๊ะ”

หรือแม้กระทั่งสูตรมาสก์หน้าด้วยการ “นำยาแอสไพรินที่ละลายน้ำแล้วมาผสมกับโยเกิร์ต หรือน้ำผึ้งก็ได้ พอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที ก่อนล้างออกให้ค่อยๆถูหน้า เอาๆ เม็ดยาแอสไพรินที่บดละเอียดไว้จะช่วยผิวหน้าผลิดเซลล์ผิวพร้อมกำจัดสิ่งสกปรกออกไปในตัว สูตรนี้ช่วยคืนให้ความชุ่มชื้นให้ผิว ลดอาการอักเสบของสิว ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอุดตัน ยุบสิวอักเสบได้ไวมาก สามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง”

สูตร วิธีทำ พร้อมกับคำเตือนที่ระบุว่า ในกรณีที่บางคนอาจมีอาการแพ้ยาแอสไพรินได้ หากเกิดอาการผื่นแดง หรือคันก็ให้รีบล้างออกและพบแพทย์

อย่างไรก็ตาม กรมการแพทย์ สธ. ได้ออกมาชี้แจงว่า การนำยาแอสไพรินชนิดเม็ดมาบดผสมกับสารประกอบหรือสารละลายอื่นๆ เพื่อใช้ในการรักษาสิว รอยที่เกิดจากสิว หรือนำมาใช้ในการพอกหน้าให้ขาวนั้น ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่สนับสนุนว่าใช้ได้ผลในการรักษาจริง อีกทั้งยังอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังบริเวณที่ทา จนทำให้เกิดอาการผิวแห้งแสบแดงลอก หรือมีผื่นได้  ส่วนในคนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงจากการใช้ยาในกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์อื่นๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการแพ้ที่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นเดียวกัน

แอสไพรินเป็นสารสังเคราะห์ที่มีชื่อว่าอะซีติลซาลิไซลิค (Acetylsalicylic acid) ซึ่งถือเป็นยาในกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal anti-inflammatory drug) ชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปยาถูกผลิตมาในรูปแบบยาเม็ดเพื่อใช้ในการรับประทาน  มักใช้ยาแอสไพรินเป็นยาแก้อักเสบ ลดปวด บวม หรือลดไข้  นอกจากนี้ ยายังมีฤทธิ์ในการต้านเกล็ดเลือดโดยยับยั้งการผลิตสารทรอมบ๊อกเซน ส่วนมากในทางการแพทย์โรคที่มีการใช้แอสไพริน ได้แก่ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ใช้ในการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรคหลอดเลือดอุดตัน และโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ซึ่งการพิจารณาเรื่องการใช้ยาควรอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา

ด้านสำนักงานอาหารและยา (อย.) ยืนยันเช่นกันว่า ยาแอสไพรินมีข้อบ่งใช้ในการบรรเทาอาการปวด บวม อักเสบ และป้องกันการรวมกลุ่มของเกล็ดเลือดในโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจหรือสมอง โดยทั่วไปเมื่อยาแอสไพรินเสื่อมสลายจากความชื้น จะทำให้ยาแปรสภาพและเกิดกรดน้ำส้ม (acetic acid) และกรดซาลิไซลิก (salicylic acid) ซึ่งกรดทั้งสองชนิดนี้มีฤทธิ์กัดกร่อนและทำให้แสบระคายเคืองใบหน้า และหากใช้โดยไม่ระมัดระวังอาจทำให้หน้าพังได้ ที่สำคัญ ยาแอสไพรินอาจก่อให้เกิดอันตรายในผู้ที่แพ้ยานี้  จะทำให้เกิดผื่นแดง ลมพิษ บวมที่ริมฝีปาก ใบหน้า เปลือกตา และอาจทำให้แพ้รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตในรายที่มีอาการแพ้มาก

แม้การนำยาแอสไพรินมารับประทาน ก็ยังมีข้อที่ต้องปฏิบัติอย่างเข้มงวด เช่น ควรเก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ไม่ควรเก็บในที่ที่มีความร้อน ความชื้น ไม่ควรสัมผัสแสงโดยตรง รวมถึงปิดฝาให้สนิททุกครั้งหลังใช้ยา และควรเก็บให้ไกลจากมือเด็ก ไม่ควรรับประทานยาที่หมดอายุ หรือเมื่อได้กลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชูเมื่อเปิดกระปุกยา เพราะยาอาจเสื่อมประสิทธิภาพ

ยาแอสไพรินอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปในขณะใช้ยา เช่น ปวดศีรษะ ง่วงซึม ระคายเคืองกระเพาะอาหาร เป็นต้น ควรหยุดใช้ยา และรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

การเผยแพร่ข้อมูลว่ายาแอสไพรินสามารถทำให้หน้าขาวใส ลดริ้วรอยและการเกิดสิวจากธรรมชาติได้นั้นจึงเป็นการนำยารับประทานมาใช้ผิดประเภทเป็นยาทา ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการนำยาทาผิวหนังมารับประทานที่นอกจากจะไม่ช่วยให้สวยงามขาวใสอย่างที่ต้องการแล้วยังเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ที่ทำการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและแจกสูตรหน้าใสจากยาแอสไพริน ยังคงสามารถค้นหาข้อมูลได้ในปัจจุบันแม้จะผ่านมานานกว่า 5 ปีแล้ว ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนต้องมีความเข้าใจในคุณสมบัติการรักษาด้วยยาแอสไพรินเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อข่าวปลอม