อธิบดีกรมควบคุมโรคเผยผลการเฝ้าระวังสถานการณ์โรคอาหารเป็นพิษ 1 ม.ค.-11 พ.ค.63 พบป่วยแล้ว 29,253 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต พบมากสุด คือ อายุ 15-24 ปี รองลงมากลุ่มอายุมากกว่า 65 ปี และ 25-34 ปี ตามลำดับ
เมื่อวันที่ 16 พ.ค. นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยผลการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคอาหารเป็นพิษในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-11 พ.ค. 63 ว่า มีรายงานผู้ป่วยแล้ว 29,253 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด 3 อันดับ คือกลุ่มอายุ 15-24 ปี รองลงมากลุ่มอายุมากกว่า 65 ปี และ 25-34 ปี ตามลำดับ
ส่วนจังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด 5 อันดับแรกคือ สมุทรสงคราม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี มุกดาหาร และอำนาจเจริญ ตามลำดับ โดยในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม มีรายงานพบผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษเป็นกลุ่มก้อน จำนวน 45 ราย ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษเป็นกลุ่มก้อนเพิ่มอีก 3 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และล่าสุดที่ขอนแก่น”
การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ คาดว่ามีโอกาสพบผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นอาจส่งผลให้เชื้อโรคสามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จึงควรระมัดระวังในการรับประทานอาหารอยู่เสมอ โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงไม่สุกหรือไม่ผ่านความร้อน รวมถึงอาหารที่บูดเสียง่าย เช่น อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ เป็นต้น กรมควบคุมโรค ขอแนะนำว่า การปรุง การเก็บอาหาร ต้องคำนึงถึงความสะอาด ปลอดโรค ปลอดภัย ปราศจากการปนเปื้อน
จึงขอให้ประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” โดยรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ด้วยความร้อน ไม่มีแมลงวันตอม ก่อนหยิบจับอาหารควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง และเก็บถนอมอาหารอย่างถูกวิธี ในส่วนอาหารที่ปรุงประกอบไว้นานแล้ว ขอให้สำรวจอาหารก่อน หากมีกลิ่น รส หรือรูปเปลี่ยนไป ไม่ควรรับประทานต่อ ส่วนอาหารที่กลิ่น รส หรือรูปร่างไม่เปลี่ยนแปลงควรอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน โดยผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษ จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ คอแห้งกระหายน้ำ และอาจมีไข้ได้ ในรายที่มีอาการถ่ายอุจจาระมากๆ ผู้ป่วยอาจมีภาวะช็อกหมดสติได้ การช่วยเหลือเบื้องต้นควรให้จิบสารละลายเกลือแร่ โอ อาร์ เอส บ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
- 373 views