จากการติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าในประเทศไทย ถึงปัจจุบัน ประชาชนไทยที่ติดตามข่าวสารข้อมูลโดยเฉพาะ การแถลงข่าวประจำวันจากศูนย์บริหาร สถานการณ์โควิด-19 ก็จะทราบถึง สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าครั้งนี้
มีแนวโน้มของสถานการณ์ที่ดีขึ้นเป็นลำดับ สามารถเห็นได้จากตัวเลขการรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ลดลง การรายงานจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายและกลับบ้านมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งทำให้มีผู้ป่วยที่เหลือรักษาอยู่จำนวนน้อยลงเป็นอันมาก ส่งผลดีทำให้ภาระแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ลดลงบ้าง ทำให้เพิ่มความยืดหยุ่น และความพร้อมของระบบสาธารณสุขไทยในการจัดการรับมือ สถานการณ์ต่างๆในอนาคตได้มากและดีขึ้น
ซึ่งผลสำเร็จที่เกิดขึ้น ก็ต้องขอขอบคุณการทำงานหนักของกระทรวงสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล และ บุคลากรสาธารณสุขทุกท่าน
รวมถึงพลังพี่น้อง อสม.ทั่วประเทศที่ช่วยกันแก้ไขวิกฤติครั้งนี้ ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลซึ่งได้ตั้ง ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการบริหารจัดการ ออกมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง ในการควบคุมสถานการณ์โรคระบาดcovid-19
และได้ให้ข้อมูลปัจจุบัน สถานการณ์จริงที่ถูกต้อง รวมถึงข้อควรปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกันตนเองสำหรับประชาชนชาวไทย ซึ่งก็ได้ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งจากพี่น้องประชาชน ในการปฏิบัติตามมาตรการ และการดูแลตนเอง ครอบครัวและสังคมร่วมกันทั้งการใส่mask ทุกๆคน การรักษาระยะห่างทางสังคม (social distancing) จนเรามีความหวังว่าในระยะเวลาอันใกล้นี้ พวกเรากำลังจะได้เห็นร่วมกันว่า วิกฤติครั้งนี้กำลังจะคลี่คลาย
อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้และหวังว่าจะผ่านไปได้ แม้จะต้องมีความตื่นตัว, ติดตาม, ระมัดระวัง การที่อาจจะมีการระบาดใหม่ขึ้นมาอีกครั้งก็ตาม โดยเฉพาะสถานการณ์ของอีกหลายๆประเทศก็ยังมีความวิกฤติและยังมีอัตราการการติดเชื้อ covid-19 ที่สูงอยู่มาก
ในส่วนของการรักษาด้านทันตกรรมของประชาชน ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากการระบาดของโคโรนาไวรัสcovid-19 ทำให้มีการแนะนำเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโดยพยายามจำกัดการรักษาเฉพาะในกรณีเร่งด่วน ฉุกเฉิน ซึ่งส่วนหนึ่งอันเนื่องด้วยความกังวลถึง ความสามารถการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรน่า ที่เกิดการติดเชื้อและการแพร่กระจายของเชื้อได้ง่าย เช่นเมื่อเทียบกับการติดเชื้อโรค SARS ( Severe Acute Respiratory Syndrome)ซึ่งเป็นไวรัสสายพันธ์เดียวกัน ตระกูลไวรัสโคโรน่าเช่นกัน แต่Covid-19 ทำให้มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกปัจจุบันถึงสองล้านเก้าแสนราย มากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโรค SARS (โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ซาร์ส) ซึ่งการระบาดเกิดขึ้นช่วงปี 2545-46 การระบาดดำเนินไปประมาณ 6 เดือน ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 8,000คน เสียชีวิต 774ราย แต่ด้วยความสามารถ ความเสียสละและความมุ่งมั่นของบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ในระบบสาธารณสุขไทย ก็ทำให้สถานการณ์การระบาดที่รุนแรงครั้งนี้ สถานการณ์ในประเทศไทยดีขึ้นเป็นลำดับ
ดังนั้น เมื่อสถานการณ์การระบาดcovid-19 ถูกควบคุมได้ระดับหนึ่ง จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ทันตแพทย์ในทุกๆหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนทันตแพทย์ คณะทันตแพทย์ศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ กลุ่มงาน ฝ่ายทันตกรรมในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทุกๆขนาด
โดยเฉพาะในกระทรวงสาธารณสุขที่รับภาระหนัก ในภารกิจแก้ไขวิกฤติครั้งนี้ จะต้องใช้เวลาอันมีค่าในช่วงจากนี้ ในการมาร่วมกัน ประชุมหารือ
จัดระบบ กำหนดแนวทางปฏิบัติต่างๆที่จำเป็น ในการเตรียมพร้อมที่จะรองรับการเข้ารับการรักษาด้านทันตกรรมเพื่อรักษาโรคฟันและช่องปากของประชาชน เพื่อบรรเทาปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน ซึ่งประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างในการจะเข้าถึงการรักษาด้านทันตกรรมในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ความสำคัญอย่างที่สุดเรื่องหนึ่งที่จะทำให้ การกลับมาของการรักษาทางทันตกรรมให้มีความมั่นใจ ลดความกังวลจากปัญหา Covid-19คือ
"การคัดกรองอย่างเข้มข้นและมีประสิทธิภาพ" ก่อนคนไข้จะเข้าการรักษาทุกครั้งในการที่จะสามารถคัดกรองผู้ป่วยที่สงสัยติดเชื้อ Covid-19ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจำเป็นต้องแยกแผนการรักษาออกมาจากแผนการรักษาทั่วไป
ซึ่งหากพบคนไข้ทันตกรรม ที่เป็นผู้สงสัยติดเชื้อCovid-19 มีความจำเป็นที่จะแยกผู้ป่วย เข้าสู่ระบบขั้นตอนการรักษาโรคติดเชื้อจากCovid-19ของกระทรวงสาธารณสุขก่อน ด้วยเหตุของการประกาศของกระทรวงสาธารณสุขให้ COVID-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14
ซึ่งหากมีความจำเป็นฉุกเฉินด้านทันตกรรม ทันตแพทย์ก็จะต้องเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมแพทย์ ในการรักษาในกรณีคนไข้ที่สงสัยติดเชื้อcovid-19ในคนไข้คนนั้นๆ
ซึ่งหากมีการคัดกรองอย่างเข้มข้น และมีประสิทธิภาพ การรักษาคนไข้ทันตกรรมที่ไม่มีความเสี่ยงติดเชื้อcovid-19 ก็จะสามารถดำเนินได้ตามมาตรฐานปกติ ภายใต้การป้องกันติดเชื้อและการรักษาตามมาตรฐานและปลอดภัย
ทันตแพทย์หลายๆท่านกรุณา แนะนำประเด็นที่น่าพิจารณา เช่น
1.การวางแผนเรื่องการจัดการด้าน สถานที่ใหม่ เช่น
- การจัดสถานที่ให้มีจุดคัดกรองขั้นต้น บริเวณที่กำหนดให้เป็นทางเข้าตามมาตรฐาน ทั้งตรวจอุณหภูมิ ซักประวัติตามแบบ ซักประวัติผู้เสี่ยงสงสัยติดเชื้อ covid-19, ตรวจหาอาการที่อาจเกี่ยวข้อง ซึ่งต้องจัดเตรียมบุคลากรและวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อม
- การจัดที่รับคิว การจัดที่นั่งรอใหม่มีระยะที่เหมาะสม
- การจัดทางเดิน ทั้งระบบ ทั้งสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่มารับการรักษา ซึ่งต้องมีระยะห่าง และตำแหน่ง แนวเส้นทางที่เหมาะสม
- การจัดพื้นที่พิเศษ สำหรับคนไข้ที่สงสัยเสี่ยงติดเชื้อCovid-19เป็นสัดส่วน เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมและดำเนินการขั้นต่อๆไปเพื่อดูแลคนไข้และมีระยะห่างจากคนไข้ทั่วไป
2.การเพิ่มการคัดกรองซ้ำ และตรวจเช็คอุณหภูมิร่างกายอีกครั้งโดยทันตแพทย์ที่เก้าอี้ทันตกรรมก่อนการรักษา (Double Check)
3.เคร่งครัดเรื่องการเตรียมคนไข้ ทุกคนทั้งก่อนและหลังรักษา เช่นต้องป้วนน้ำยาป้วนปากฆ่าเชื้อก่อนและหลังทำการรักษา
4.เคร่งครัดเรื่องการเตรียมเก้าอี้ทำฟันทุกครั้งก่อนการรักษา-หลังรักษา ต้องมีการทำความสะอาด ฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสมและ มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจทำให้ต้องมีระยะเวลาทิ้งห่าง ที่จะต้องให้คนไข้รอนานขึ้น ระหว่างการเตรียมเก้าอี้ฟันสำหรับคนไข้คนต่อๆไป รวมถึงพื้นที่ทำงานส่วนอื่นๆ กำหนดการทำความสะอาดเป็นระยะ
5.ทันตแพทย์ บุคลากรทางทันตกรรม ต้องมีและใส่ อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้ออย่างพอเพียงและเหมาะสมตามมาตรฐานทุกครั้งที่ปฏิบัติงาน
6.พิจารณา ในการจัดหาชุดPPE, อุปกรณ์ป้องกันติดเชื้อไว้ภายในหน่วยบริการ กรณีสงสัยพบผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อcovid-19 ณ จุดคัดกรอง
7.ซักซ้อมการใช้งานอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ
8.หน่วยงานทันตกรรมต่างๆ โดยเฉพาะที่มีผู้เชี่ยวชาญทางวิชาการ เช่น คณะทันตแพทย์ศาสตร์ในมหาวิทยาลัย กระทรวงสาธารณสุขร่วมกันตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษา ผลกระทบของฝอยละอองที่เกิดจากการใช้เครื่องมือทันตกรรมทุกประเภท เช่นฝอยละอองจากการอุดฟัน ขูดหินปูน และหัตถการอื่นๆในทุกมิติ และศึกษาวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ อิงหลักวิชาการ ถึงประโยชน์ กับผลกระทบอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เครื่องดูดฝอยละอองแรงสูงในห้องรักษาทันตกรรม จากกรวยดูดที่มีลักษณะ ทิศทางการใช้งานที่แตกต่างกันในทุกมิติ เพื่อหาข้อสรุปที่เกิดประโยชน์สูงสุด ทางวิชาการ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ และสามารถนำมาเพื่อพิจารณาใช้ในการทำงานหรือไม่อย่างเหมาะสมต่อไป
ซึ่งช่วงเวลานี้ น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสม ที่หน่วยงานทันตกรรมทุกๆหน่วย จะได้มาร่วมกันวางแผน และปรับเปลี่ยนพื้นที่ ต่างๆตามแผน
ตรวจเช็คอุปกรณ์ป้องกันติดเชื้อต่างๆว่ามีความพร้อม มีความจำเป็น ต้องการจัดหาเพิ่มเติมหรือไม่
- ซักซ้อมทุกขั้นตอน จนบุคลากรทุกคนเข้าใจและสามารถปฏิบัติอย่างถูกต้อง
- พิจารณา แสวงหาเทคโนโลยี อุปกรณ์ใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับการตรวจโรคมาใช้ในบางกรณี เช่น นวัตกรรมการตรวจเชื้อcovid-19 โดยการใช้น้ำลาย ซึ่งพัฒนาโดยผลวิจัยจาก โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งอาจจะนำมา ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมและสะดวกกับการใช้งานของทันตแพทย์ ทำให้สามารถเพิ่มศักยภาพในการคัดกรองเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะกรณีที่ต้องการการตรวจหาเชื้อก่อนการรักษา
ซึ่งผลดี และประโยชน์ทั้งหมดท้ายสุดนั้นจะตกกับประชาชนทุกคน สังคม และจะนำมาซึ่ง การดูแลสุขภาพฟันและช่องปากโดยทันตแพทย์ ทันตาภิบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ บุคลากรด้านทันตสาธารณสุขจะสามารถกลับมาดูแลคนไข้ทันตกรรมให้ได้ใกล้เคียงหรือดีกว่าช่วงเวลาปกติก่อนหน้านี้ ที่ยังไม่มีการระบาดของcovid-19 และ ให้ประชาชน คนไข้ทันตกรรมสามารถเข้าถึงบริการทันตกรรมได้ในช่วงเวลาต่อไป อย่างปลอดภัยและมีมาตรฐาน ด้วยความมั่นใจ และจะเป็นการพัฒนาการการรักษาการจัดการด้านทันตกรรม โดยเฉพาะ การป้องกันการติดเชื้อจากโรคต่างๆ และเป็นการสร้างความมั่นใจและความพร้อมของบุคลากรทุกคน
หากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าCovid-19ยังไม่ยุติโดยง่าย เนื่องจากเป็นการระบาดทั่วโลก และเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ หากมีอุบัติการณ์โรคระบาดอื่นๆขึ้นมา
ขอขอบพระคุณ แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ทุกๆท่านตลอดจน พลังของ อสม.ทุกๆท่านที่ร่วมทำงานอย่างเข้มแข็ง กระทรวงสาธารณสุข
รัฐบาลไทย ที่ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เสียสละ มุ่งมั่น จนทำให้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าCovid-19ในประเทศไทยดีขึ้นอย่างมาก
สร้างขวัญ กำลังใจ และความภาคภูมิร่วมกันให้คนไทยทุกๆคน ให้สู้ต่อไป ทั้งกับโรคระบาดและปัญหาเศรษฐกิจที่เข้ามาถาโถมเข้ามาครับ
ผู้เขียน : ทันตแพทย์ พิทักษ์ ไชยเจริญ สมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการสาธารณสุขวุฒิสภา
ทันตแพทย์ พิทักษ์ ไชยเจริญ สมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการสาธารณสุขวุฒิสภา
- 325 views