Herd immunity หรือที่รู้จักกันอีกชื่อ คือ Community Immunity หมายถึง สถานการณ์ที่สัดส่วนของประชากรมีภูมิคุ้มกัน (ไม่ว่าจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเองตามธรรมชาติหรือได้รับวัคซีนป้องกันโรค) มีจำนวนมากพอจนเชื้อไวรัสไม่สามารถแพร่กระจาย หรือถูกส่งผ่านไปยังคนอื่นๆ ได้ หรือเมื่อคนในพื้นที่นั้นๆ ได้รับวัคซีนหรือได้รับเชื้อแล้วร่างกายมีภูมิคุ้มกันจนไม่ป่วยอีก พอคนติดเชื้อได้น้อย เชื้อโรคก็แพร่ไปสู่คนอื่นได้ยากไปด้วย เมื่อเชื้อไวรัสไม่สามารถแพร่ระบาดไปสู่ผู้อื่นได้ มันก็จะหายไป ไม่กลายเป็นการแพร่ระบาดนั่นเอง อย่างไรก็ตาม จำนวนของประชากรที่จำเป็นต้องมีภูมิคุ้มกันหมู่หรือได้รับวัคซีนสำหรับ Herd immunity ในแต่ละโรคนั้น มีสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไป เช่น โรคหัดต้องมีจำนวนผู้ได้รับวัคซีนไม่ต่ำกว่า 95% ส่วนโปลิโอ ก็ต้องไม่น้อยกว่า 80%

คำว่า Herd immunity ปรากฏครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1923 ในบทความเรื่อง The spread of bacterial infection: the problem of herd immunity ที่กล่าวถึงโรคระบาดต่างๆ ที่มีความใกล้ชิดกับหนูโดยพบว่าหนูที่ได้รับวัคซีนมีอัตราการตายต่ำ และมีโอกาสที่จะถ่ายทอดเชื้อน้อยลงด้วย การเพิ่มความต้านทานต่อการติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มประชากรน่าจะเป็นผลจากการที่ความต้านทานต่อเชื้อในส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะลดการแพร่เชื้อโรค ดังนั้น วิลสัน จีเอส (Wilson GS.) ผู้เขียนบทความดังกล่าว ได้เริ่มใช้คำว่า Herd immunity เป็นครั้งแรกด้วย

กล่าวได้ว่า Herd immunity เป็นผลทางอ้อมของการป้องกันโรคจากวัคซีน ที่ช่วยปกป้องคนที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันจากโรคภัยด้วยกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันมากพอ หรือที่เรียกกันว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการให้วัคซีนกับประชากรทั่วโลกเป็นต้นมา

Herd Immunity ใช้กับ COVID-19 ได้ไหม

ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา คำว่า Herd immunity กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังจากคำกล่าวของ แพทริก วัลแลนซ์ (Patrick Vallance) หัวหน้าที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของอังกฤษ กล่าวว่า รัฐบาลต้องการยืดเวลาอัตราการระบาดของ COVID-19 ออกไปให้นานที่สุด เพื่อให้เกิด Herd immunity ในประชากรได้ เขาอธิบายว่าต้องให้ประชากรส่วนใหญ่หรือประมาณ 60% ติดเชื้อไวรัสเสียก่อน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันในกลุ่มคนที่หายป่วยแล้ว ซึ่งภูมิคุ้มกันนี้จะช่วยป้องกันกลุ่มคนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจากไวรัสได้โดยอัตโนมัติ และอาจจะหยุดการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้

คำกล่าวอันโด่งดังนี้ ทำให้ Herd immunity เป็นที่พูดถึงกันกว้างขวางและถกเถียงถึงความเป็นไปได้ที่จะป้องกันการระบาดของ COVID-19 มีทั้งฝ่ายสนับสนุนและโต้แย้ง แต่ปัญหาคือยังไม่มีวัคซีนที่จะต้านทาน COVID-19 ได้ ดังนั้น หากยินยอมให้เกิด Herd immunity ในสถานการณ์นี้ได้ ก็ต่อเมื่อมีผู้คนติดเชื้อจำนวนมาก และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อร่างกายตัวเองได้ จึงจะบรรเทาผลกระทบจากโรคนี้ แต่หนึ่งในเหตุผลที่ถูกยกขึ้นมาเพื่อสนับสนุน Herd immunity คือ การยับยั้งมหันตภัยจาก “คลื่นลูกที่สอง”หรือการระบาดหนักที่จะมาถึงอีกครั้งในช่วงฤดูหนาว

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาอย่างรอบด้านถึงผลกระทบของ Herd immunity กับ COVID-19 มีนักวิทยาศาสตร์อังกฤษกว่า 229 คนส่งจดหมายถึงรัฐบาลวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินงานรัฐบาล มาตรการรับมือกับ COVID-19 และคัดค้านข้อเสนอเรื่อง Herd immunity เพราะมองว่าเป็นมาตรการที่เสี่ยงเกินไป และอาจทำให้มีผู้ป่วยและเสียชีวิตนับล้านคน แน่นอนว่าสถานการณ์ที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน COVID-19 ทำให้วิธีการ Herd immunity ไม่สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ของการระบาดได้อย่างแท้จริง

กราแฮม เมดเลย์ (Graham Medley) ศาสตราจารย์จาก London School of Hygiene and Tropical Medicine อธิบายว่า การตีความไปแบบนั้น เป็นเรื่องที่ผู้คนเข้าใจผิดว่าหมายถึงเรากำลังจะมีการแพร่ระบาดของโรคเพื่อให้คนติดเชื้อ เขากล่าวว่าเป้าหมายที่แท้จริงก็เหมือนกับในประเทศอื่นๆ นั่นคือการ “flatten the curve” หรือการทำให้อัตราการระบาดสูงสุด ลดต่ำลง แต่เวลาในการระบาดยาวนานขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการบรรลุ Herd immunity ซึ่งควรจะเป็นผลข้างเคียงไม่ใช่เป้าหมาย

ในขณะที่ กระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษก็ออกมาแถลงว่า Herd immunity ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในแผนปฏิบัติการของกระทรวงแต่อย่างใด เป็นเพียงผลพลอยได้ที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อการระบาดสิ้นสุดลงเท่านั้น น่าจะเป็นเรื่องการสื่อสารที่ผิดพลาดในช่วงการระบาดของ COVID-19

อ้างอิง

เพณณินาท์ โอเบอร์ดอร์เฟอร์, การให้วัคซีนป้องกันโรคสำหรับกลุ่มเฉพาะ :Community immunity.

Claire Gillespie, What Is 'Herd Immunity' and How Can That Stop the Coronavirus?

William Hanage, I’m an epidemiologist. When I heard about Britain’s ‘herd immunity’ coronavirus plan, I thought it was satire, the guardian.

The Atlantic, The U.K.’s Coronavirus ‘Herd Immunity’ Debacle.