ปักกิ่ง, 20 มี.ค. (ซินหัว) - รายการ “ยา” และ “วิธีการรักษา” ต่อไปนี้ คือแนวทางการรักษาที่พบว่ามีศักยภาพในการต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) และเสร็จสิ้นการทดลองหรืออยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิกในจีน

1) ฟาวิพิราเวียร์ (FAVIPIRAVIR)

ฟาวิพิราเวียร์เป็นยาต้านไวรัสก่อโรคไข้หวัดใหญ่ที่ได้รับการอนุมัติเพื่อการใช้งานทางคลินิกในญี่ปุ่นเมื่อปี 2014 โดยยาตัวนี้ช่วยให้ผู้ป่วยมีผลตรวจไวรัสออกมาเป็นลบได้ในเวลาอันสั้น ทั้งยังไม่ปรากฏอาการไม่พึงประสงค์ที่ชัดเจนในการทดลองทางคลินิกที่ดำเนินจนเสร็จสิ้นในนครเซินเจิ้น มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน

ส่วนการทดลองอีกรายการหนึ่งซึ่งดำเนินการในนครอู่ฮั่น ศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เผยให้เห็นถึงประสิทธิภาพการรักษาของยานี้เช่นกัน โดยผลออกมาดีกว่าผลของกลุ่มควบคุม (control group) หรือกลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับตัวแปรในการทดลอง เพื่อใช้เปรียบเทียบผลที่ได้กับกลุ่มทดลอง

ขณะนี้ บริษัทเภสัชกรรมจีนแห่งหนึ่งได้รับการอนุมัติจากสำนักงานบริหารเวชภัณฑ์แห่งชาติ (NMPA) ให้ผลิตยาชนิดนี้จำนวนมากแล้ว พร้อมทั้งประกันยาสำรองให้เพียงพอ

2) คลอโรควิน ฟอสเฟต (CHLOROQUINE PHOSPHATE)

คลอโรควิน ฟอสเฟต เป็นยารักษาและป้องกันการติดเชื้อมาลาเรียและรักษาโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง ที่ถูกนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการวิกฤตในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของอู่ฮั่น และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่ปรากฏชัดจากการใช้ยา

กรอบแนวทางการรักษาฉบับล่าสุดของจีนระบุให้คลอโรควิน ฟอสเฟต เป็นยาแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอายุ 18-65 ปี โดยหากผู้ป่วยมีน้ำหนักมากกว่า 50 กิโลกรัม ให้ใช้ยาขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน แต่ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง 9 กลุ่ม อาทิ หญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ตับ และไตเรื้อรัง

3) แพทย์แผนจีน (TCM)

การแพทย์แผนจีน (TCM) ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19

บรรดาผู้เชี่ยวชาญการแพทย์กล่าวว่าวิธีรักษาด้วยยาแผนจีนนั้นช่วยลดอาการไข้หรือไอในผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงได้ ส่วนผู้ป่วยที่อาการรุนแรงนั้น ยาแผนจีนจะช่วยบรรเทาอาการต่างๆ และฟื้นฟูความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ป้องกันไม่ให้อาการของผู้ป่วยทรุดหนักจนถึงขั้นวิกฤต

นอกจากนี้ จีนยังได้แนะนำยาต้ม “ชิงเฟ่ย ไผตู๋” (Qingfei Paidu) แก่สถาบันทางการแพทย์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา

เจ้าหน้าที่แพทย์แผนจีนกำลังเตรียมยาแผนจีน

4) โทซิลิซูแมบ (TOCILIZUMAB)

กรอบแนวทางการรักษาฉบับล่าสุดแนะนำให้ใช้ยาโทซิลิซูแมบ ซึ่งใช้ชื่อทางการค้าว่าแอกเทมรา (Actemra) ในผู้ป่วยที่มีระดับอินเทอร์ลิวคิน-6 (IL-6) เพิ่มสูงขึ้น และมีรอยโรคระดับสูงในปอดทั้ง 2 ข้าง หรือมีอาการรุนแรง

เนื่องจากผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงและอาการวิกฤตจำนวนมากได้รับการตรวจพบระดับ IL-6 ในเลือดที่สูงขึ้น ระดับ IL-6 ที่สูงขึ้นนั้นจึงกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าอาการของผู้ป่วยอาจทรุดลงได้

ขณะนี้ ยาโทซิลิซูแมบอยู่ยังระหว่างการทดลองทางคลินิกในโรงพยาบาล 14 แห่งในอู่ฮั่น และจนถึงวันที่ 5 มี.ค. มีการใช้ยาชนิดนี้รักษาผู้ป่วยอาการรุนแรงแล้ว 272 ราย

5) น้ำเลือดที่มีโปรตีนภูมิคุ้มกัน (CONVALESCENT PLASMA)

น้ำเลือดหรือพลาสมาที่มีโปรตีนภูมิคุ้มกันได้มาจากการนำพลาสมาที่เก็บจากผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่หายป่วยแล้วมาผ่านกระบวนการ โดยพบว่ามีส่วนประกอบของโปรตีนภูมิคุ้มกันในปริมาณมาก

ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่หายดี เดินทางมายังศูนย์บริจาคเลือดกลาง ณ นครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย เพื่อบริจาคพลาสมา ซึ่งจะถูกนำไปใช้รักษาผู้ป่วยที่อาการวิกฤต

เมื่อนับถึงวันที่ 28 ก.พ. มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่รับการรักษาด้วยวิธีนี้แล้ว 245 ราย โดย 91 รายมีอาการและตัวบ่งชี้ทางคลินิกดีขึ้นหลังรับการรักษา

ทั้งนี้ ทางการสาธารณสุขชี้ว่าการรักษาด้วยพลาสมาได้รับพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

6) เรมเดซิเวียร์ (REMDESIVIR)

ยาเรมเดซิเวียร์พัฒนาขึ้นโดยกิลเลียด ไซเอนเซส (Gilead Sciences) บริษัทเวชภัณฑ์สัญชาติสหรัฐฯ เพื่อต้านเชื้ออีโบลา สำหรับการรักษาโรคโควิด-19 นั้น ยาชนิดนี้สามารถออกฤทธิ์ต้านไวรัสในระดับเซลล์ได้ดีพอสมควร

เฉาปิน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นผู้นำในโครงการทดลองยาเรมเดซิเวียร์ ระบุว่าการทดลองยาทั้ง 2 ส่วน เป็นไปอย่างราบรื่น และจีนจะแบ่งปันข้อมูลกับประชาคมนานาชาติหลังจากเสร็จสิ้นโครงการ

การประชุมจดทะเบียนยาเรมเดซิเวียร์เพื่อการใช้ทดลองทางคลินิก ณ นครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย

7) การทดลองปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ (STEM CELL)

จีนทำการวิจัยและทดลองใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 หลายรายการ ซึ่งรวมถึงยาสเต็มเซลล์ที่ได้รับการอนุมัติสำหรับทดลองทางคลินิก และวิธีการบำบัดด้วยสเต็มเซลล์เนื้อเยื้อเกี่ยวพัน (mesenchymal)

แพทย์ได้ใช้วิธีดังกล่าวในการรักษาผู้ป่วยอาการรุนแรงและวิกฤต 64 ราย และได้รับการพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพในการลดปฏิกิริยาอักเสบรุนแรงที่เกิดจากโรคดังกล่าว รวมถึงลดการบาดเจ็บในปอดและลดพังผืดในปอดด้วย

ทั้งนี้ สมาคมชีววิทยาของเซลล์แห่งจีน (Chinese Society for Cell Biology) และสมาคมการแพทย์จีน (Chinese Medical Association) ร่วมกันออกแนวปฏิบัติเพื่อวางมาตรฐานการวิจัยทางคลินิกและการประยุกต์ใช้การบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ต้านโรคโควิด-19

8) การฟอกเลือด

ที่ผ่านมามีการนำเทคโนโลยีตับเทียมและเทคโนโลยีฟอกเลือดมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยอาการวิกฤต และพบว่าปัจจัยการอักเสบของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ลดระดับลง ทั้งยังมีผลการตรวจทรวงอกที่ดีขึ้นด้วย

วิธีการรักษานี้ยังช่วยลดระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจลดลงได้เฉลี่ย 7.7 วัน รวมถึงลดระยะเวลาเฝ้าระวังในห้องผู้ป่วยฉุกเฉินหรือไอซียูได้อีกด้วย