จีนยันระบบควบคุมโรคได้ผลดี มีการส่งต่อโรคจากรุ่น 3 ไป 4 น้อยมาก ขณะที่ร้าน “ฮอทพอท” หุ้นร่วงหนัก หลังพบเป็นแหล่งระบาดของครอบครัวฮ่องกง สีจิ้นผิงส่ง “มือขวา” คุมหูเป่ย รับปากจัดการ “ข่าวปลอม” ในโซเชียลด้วย

ผลการสำรวจล่าสุดพบผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 หรือที่องค์การอนามัยโลก เพิ่งตั้งชื่อใหม่ว่า COVID – 19 ในจีน จากกลุ่มตัวอย่าง 1,000 เคส พบว่ามากกว่า 83% ติดต่อจากคนในครอบครัว

อู๋ ซันหยู หัวหน้าทีมวิจัยด้านระบาดวิทยาประจำสำนักงานควบคุมโรคของจีน แถลงข่าวว่า พบว่า “ครอบครัว” เป็นกลุ่มเสี่ยงของการติดเชื้อมากที่สุด ตามมาด้วยโรงพยาบาล โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า โรงงาน และออฟฟิศ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสำหรับการติดต่อ

นอกจากนี้ การศึกษาเบื้องต้นยังพบด้วยว่า การติดต่อระหว่าง Patient 0 หรือผู้ป่วยคนแรกคนถัดไป ซึ่งถือเป็นเจอเนเรชันที่ 2 นั้น คิดเป็นอัตราส่วนถึง 22% ในกลุ่มผู้ป่วย 1,000 คนแรก ขณะที่อีก 64% เป็นการแพร่เชื้อต่อไปจากรุ่น 2 ไปสู่รุ่น 3 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัว

ทั้งนี้ ผู้ป่วยคนแรกในครอบครัวส่วนใหญ่มักจะอาศัยอยู่ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย หรือมักจะเดินทางไปอู่ฮั่นเป็นประจำ และคนต่อมามักจะเป็นคนในครอบครัว ก่อนติดไปยังคนต่อ ๆ ไป

หัวหน้าทีมวิจัย ยังยืนยันว่าระบบการควบคุมการแพร่ระบาดที่จีนใช้ก่อนหน้านี้ และในขณะนี้ได้ผล เพราะมีการแพร่ระบาดในวงต่อ ๆ ไป คือจากรุ่น 3 ไปยังรุ่น 4 นั้น น้อยมาก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการใช้ “ยาแรง” อย่างการประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น และอีกหลายเมืองในมณฑลหูเป่ย ทำให้การระบาดส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ในหูเป่ยเท่านั้น

South China Morning Post สื่อยักษ์ใหญ่จากฮ่องกง รายงานว่า หน่วยงานควบคุมโรคฮ่องกง ได้ตรวจพบว่า ครอบครัวชาวฮ่องกง 9 คน ติดเชื้อจากการกิน “สุกี้หม้อไฟ” ด้วยกันในร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่ง ส่งผลกระทบให้ธุรกิจร้านอาหารหม้อไฟชื่อดังของจีน อย่าง Haidilao Hot Pot ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง หุ้นตกถึง 4.84% ขณะเดียวกัน ร้าน “ฮอทพอท” อื่น ๆ ของจีน ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน Xiabuxiabu นั้น หุ้นตกกว่า 7.05%

ธุรกิจร้านอาหาร เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักตามมาจากการระบาดของโคโรนาไวรัส หลังจากก่อนหน้านี้ธุรกิจสายการบิน 2 สายสำคัญของฮ่องกงอย่าง คาเธย์ แปซิฟิค และ ฮ่องกง แอร์ไลน์ ถูกพิษจากไวรัสเล่นงานไปก่อนหน้านี้ และแม้ว่าร้าน “หม้อไฟ” ทั้ง 2 ร้าน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับร้านอาหารที่ครอบครัวชาวฮ่องกงที่ติดเชื้อไปใช้บริการ แต่ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักตามไปด้วย

วันเดียวกัน เฉิน ยี่ซิน หนึ่งใน “มือขวา” คนสำคัญของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เดินทางเข้าไปยังหูเป่ยเป็นวันแรก หลังจากได้รับแต่งตั้งให้รับผิดชอบงานด้านการควบคุมโรคระบาดแทนเจ้าหน้าที่ระดับสูง 2 คน ที่โดนปลดไป

เป็นที่รู้กันดีในพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่าเฉินมีความเด็ดขาด จากการดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการคณะกรรมาธิการกลางด้านการเมืองและกฎหมาย ซึ่งเป็นองค์กรควบคุมเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดของพรรคฯ ทำให้ได้รับการคาดหมายว่าเฉิน จะได้รับ “ดาบอาญาสิทธิ์” จากประธานาธิบดีสีโดยตรง ในการควบคุมด้านระบบกฎหมาย และจัดการเรื่องการคอร์รัปชัน การปิดข่าว ในมณฑลหูเป่ย หลังจากที่พรรคฯ สูญเสียความน่าเชื่อถือจากสาธารณชน จากกรณี นพ.หลี่ เหวินเหลียง ผู้ที่ออกมาเปิดโปงโรคนี้เป็นคนแรก ถูกดำเนินคดี และเสียชีวิตไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ขณะเดียวกัน รายงานล่าสุดก็คือสถานการณ์ในหูเป่ย เริ่มไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จากการที่ผู้คนเริ่มตื่นตระหนก สิ้นหวัง จากการที่โรงพยาบาลไม่เพียงพอ แพทย์ดูแลคนไข้มากเกินไป จนรับมือไม่ไหว ผู้ป่วยบางส่วนหลบหนีจากโรงพยาบาล และญาติผู้ป่วยบางคน สั่งซื้อยา HIV จากตลาดมืด เพื่อมารักษาญาติ หรือกักตุนไว้รักษาตัวเอง ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงอย่างมากที่โรค COVID-19 จะเกิดการดื้อยา ทั้งหมดนี้ ทำให้ประธานาธิบดีสี ต้องส่งคนที่ “ไว้ใจได้” มากที่สุด เข้ามาจัดการ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตาก็คือ เฉิน จะจัดการ “มอนิเตอร์” โซเชียลมีเดียในมณฑลหูเป่ยด้วยหรือไม่ เพราะคนในพื้นที่เอง เริ่มไม่ไว้ใจพรรคฯ และไม่ไว้ใจรัฐบาล โดยเฉิน ได้พูดในที่ประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคว่า ขณะนี้ จีนไม่ได้สู้เฉพาะสมรภูมิการระบาดของโรคในพื้นที่จริงเท่านั้น แต่ยังต้องต่อสู้การระบาดของข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์อีกด้วย เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องทำทุกวิถีทางในการป้องกัน “ข่าวปลอม” และในการสู้กับ “โรคระบาด” จริงๆ

อ้างอิงจาก

1.83% of novel coronavirus clustering infections occur in families: Analysis [www.ecns.cn]

2.Beijing pins hopes on ‘guy with the emperor’s sword’ to restore order in coronavirus-hit Hubei [www.scmp.com]

3.Chinese hotpot shares fall as much as 7% as coronavirus fears spread [www.cnbc.com]