สธ.แถลงข่าวสถานการณ์ไวรัสอู่ฮั่น 2 ก.พ. รักษาหายเพิ่มอีก 1 ราย รวมเป็น 8 ราย ยังอยู่ระหว่างการรักษา 11 ราย ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม มีผู้ป่วยเฝ้าระวังใน รพ. 311 ราย ย้ำกรณีพบไข้หวัดนก H5N1 ใกล้อู่ฮั่น เป็นคนละกลุ่ม ไม่สามารถผสมไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 12.00 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ในฐานะผู้บัญชาการของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน แถลงข่าวสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า ขณะนี้รายงานผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อสะสม 19 ราย วันนี้รักษาหายเพิ่ม และออกจาก รพ. 1 ราย รวมเป็นผู้ที่รักษาหายแล้วทั้งหมด 8 ราย ยังอยู่ระหว่างการรักษา 11 ราย ทุกรายมีอาการดีขึ้น ส่วนผู้เข้าเกณฑ์ต้องสอบสวนโรค เมื่อวันที่ 1 ก.พ.พบเพิ่ม 38 ราย รวมเป็นเคสเฝ้าระวังสะสมตั้งแต่ 3 ม.ค.- 1 ม.ค. อยู่ที่ 382 ราย แบ่งเป็นคัดกรองจากสนามบิน 40 ราย มาที่ รพ.เอง 342 ราย ทั้งนี้อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 71 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงเฝ้าระวังในสถานพยาบาล 311 ราย
นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การควบคุมป้องกันโรคในส่วนของคนขับแท็กซี่ขอให้มีหน้ากากอนามัยติดไว้อย่างน้อย 2 แผ่น 1 แผ่นใช้เอง และอีกแผ่นเพื่อหากพบผู้โดยสารมีอาการไอ จาม และควรมีเจลล้างมือติดรถไว้ด้วย ทั้งนี้ขอให้หมั่นทำความสะอาดรถทั้งภายในและภายนอก โดยใช้แอลกอฮอล์ 70% ทำความสะอาด ส่วนสหกรณ์แท็กซี่สามารถใช้ผงคลอรีนละลายน้ำมาใช้ทำความสะอาดรถแท็กซี่ด้วย อย่างไรก็ตามหากเจอผู้โดยสารไอ จาม ให้เปิดหน้าต่างรถเพื่อระบายอากาศ หรือเวลาที่จอดรถเพื่อทำกิจวัตรอย่างอื่นก็ขอให้เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศทิ้งไว้ด้วย ส่วนประชาชนทั่วไปขอให้สวมหน้ากากอนามัย คนที่ไม่ป่วยให้ใช้แบบผ้าที่สามารถซักใช้ซ้ำได้ ส่วนคนป่วยให้ใส่ชนิดที่เป็นหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ไม่ต้องถึงขั้นใช้หน้ากาก N95 เพราะชนิดนี้เหมาะกับบุคลากรทางการแพทย์
ด้าน นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวว่า สำหรับกรณีพบเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ในเมืองหูหนาน ซึ่งมีพื้นที่ใกล้กับเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ซึ่งเป็นพื้นที่การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทำให้เกิดความกังวลว่าจะทำให้สถานการณ์โรครุนแรงขึ้นหรือไม่ นั้นต้องเรียนว่าเชื้อ H1N5 กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้นเป็นคนละกลุ่มที่ไม่สามารถผสมกันได้ อีกทั้งตอนนี้ H5N1 ในจีนยังเป็นการพบในสัตว์ ยังไม่ได้ระบาดมาสู่คน แต่ทางการจีนได้มีการทำลายสัตว์ปีก พร้อมทั้งทำความสะอาดไปแล้ว ทั้งนี้ในอดีตที่มีการระบาดของไข้หวัดนกถือว่าเป็นเชื้อที่มีความรุนแรง อัตราการเสียชีวิตในคน อยู่ที่ 60% แต่การแพร่กระจายโรคไม่ง่าย เพราะเป็นแล้วเสียชีวิตก็เผาเลย
เมื่อถามถึงกรณีที่จังหวัดเชียงใหม่มีการรับผู้ป่วยชาวจีนเข้ารับการรักษาตัว แล้วตรวจครั้งแรกไม่พบเชื้อ ทางแพทย์จึงให้ออกมาอยู่นอกห้องแยกโรค แต่ผลตรวจภายหลังกลับพบว่ามีเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ฯ นพ.ทวี กล่าวว่า กรณีการตรวจไม่พบเชื้อฯ ครั้งแรกอาจจะเป็นเพราะ 1. ตอนที่ตรวจคนไข้มา รพ.ด้วยโรคอื่น แล้วเชื้อตัวนี้ยังอยู่ในระยะฟักตัว จึงทำให้ตรวจไม่พบ 2.การเก็บตัวอย่างเชื้อไม่ดีพอ ซึ่งพบปัญหานี้ค่อนข้างบ่อย สิ่งที่เราต้องการคือการเก็บเสมหะในลำคอ หากเก็บไม่ดีจะได้เพียงน้ำมูก อย่างไรก็ตามขณะนี้ผู้ป่วยและคนที่สัมผัสอยู่ในการดูแลของทีมแพทย์ 14 วันแล้ว ยังไม่มีความผิดปกติ
“ตัวเลขเคสที่เข้าข่ายสอบสวนโรคของเรา 382 ราย หลังผลตรวจออกมาแล้วพบว่าส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดชนิดอื่น ที่พบว่าเป็นเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ฯ มี 5%” นพ.ทวี กล่าว
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 13.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข แถลงข่าวภายหลังเรียกผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ทุกกรมในสังกัดมาประชุมนัดพิเศษในวันหยุด ว่า ตนได้เรียกประชุมนัfพิเศษเพื่อระดมสมองในการรับมือกับสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่ง ณ วันนี้ เป็นไปอย่างเข้มข้นตั้งแต่สนามบิน สถานพยาบาล ชุมชน และมีเรื่องน่ายินดีในวันนี้เมื่อได้รับรายงานจากทีมแพทย์ รพ.ราชวิถี ที่ให้การรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ฯ อาการรุนแรง หายภายใน 48 ชั่วโมง
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สำหรับการไปรับตัวคนไทยที่เมืองอู่ฮั่นกลับมาเมืองไทยนั้น ในวันที่ 4 ก.พ. ตอนนี้ชัดแล้วว่าตนไม่ไปเอง จะมีเพียงทีมแพทย์ 8 คน ประกอบด้วย แพทย์ทางด้านฉุกเฉิน แพทย์ทางระบาด จิตแพทย์ ตลอดจนพยาบาล พร้อมกับเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต้องใช้ในระหว่างการเดินทาง เมื่อกลับถึงประเทศไทยแล้วจะแยกตัวไว้ และเฝ้าระวังโรคเป็นระยะเวลา 14 วัน ส่วนสถานที่ เบื้องต้นเตรียมไว้ 3-4 แห่ง ซึ่งต้องหารือกับนายกรัฐมนตรี เพื่อหาข้อสรุปอีกครั้ง ส่วนเรื่องการไม่ห้ามคนจีนเดินทางเข้าประเทศไทยยืนยันอีกครั้งว่า วันนี้คนจีนเข้ามาในประเทศไทยน้อยมากแล้ว
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงได้ระดมสรรพกำลังจากทุกกรมในสังกัดเพื่อให้การดูแลประชาชน โดยในสัปดาห์หน้ากรมอนามัยจะเป็นหน่วยงานหลักในการทำบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ ส่วนกรมสนับสนุนบริการสุขภาพก็ระดม อสม.กว่า 1 ล้านคนในการให้ความรู้ในการป้องกันตนเองจากโรคดังกล่าวให้กับประชาชนได้ทราบ ส่วนอุปกรณ์ป้องกันตัวต่าง ๆ ทั้งหน้ากากอนามัย และเจลล้างมือมีเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ท่านรองนายกฯ ได้สั่งองค์การเภสัชกรรมเร่งผลิตเจลล้างมือเพิ่มด้วย.
- 4 views