สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินฯ เกณฑ์เด็กนักเรียนทำประโยชน์ช่วงปิดเทอม ปูพื้นฐานเตรียมตัวรู้รอด ช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นเมื่อเกิดเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน หลังสถิติเด็กเสียชีวิตเพราะอาหารติดหลอดลม ทางเดินหายใจถูกกดทับ พลัดตก พุ่งสูง

เมื่อวันที่ 6 พ.ค.60 ที่ศูนย์พัฒนาบุคลากรทางการลูกเสือยุวกาชาดและกิจกรรมเยาวชน “ผิน แจ่มวิชาสอน” สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย ร่วมกับ กทม. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เกณฑ์เด็กนักเรียน 6 โรงเรียนนำร่องในกรุงเทพฯ เข้าค่าย “เตรียมตัวรู้รอด”เมื่อเกิดเหตุการณ์เจ็บป่วยฉุกเฉิน ให้สามารถช่วยเหลือทั้งตนเองได้และเข้าใจวิธีช่วยเหลือผู้อื่น เชื่อช่วยปูพื้นฐานเอาตัวรอดตั้งแต่เด็ก

คุณหญิงเดือนเพ็ญ พึ่งพระเกียรติ

คุณหญิงเดือนเพ็ญ พึ่งพระเกียรติ คณะกรรมการด้านยุทธศาสตร์ โครงการส่งเสริมและป้องกันคนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน กล่าวว่า จากสถิติของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินในปี 57 มีเด็กเจ็บป่วยฉุกเฉินที่ขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1669 มากกว่า 1,249,180 ครั้ง แบ่งเป็นเด็กอายุ 1-14 ปี 129,002 ครั้ง และอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป 1,120,178 ครั้ง สำหรับอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินมี 5 อันดับ ดังนี้

อุบัติเหตุยานยนต์ 318,379 ครั้ง

ป่วยอ่อนเพลีย อัมพาตเรื้อรัง 237,451 ครั้ง

ปวดท้อง-หลัง เชิงกราน และขาหนีบ 146,730 ครั้ง

พลัดตกหกล้ม 94,122 ครั้ง

และหายใจลำบาก/ติดขัดและอาหารติดหลอดลม 91,695 ครั้ง

สอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก รพ.รามาธิบดี ผลการเฝ้าระวังความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและบาดเจ็บในเด็กปี 2546-2556 พบสาเหตุ 3 อันดับเสียชีวิตของกลุ่มเด็กเล็กคือ การสำลักสิ่งต่างๆ เข้าหลอดลม เส้นสายรัดคอ ใบหน้า หรือทางเดินหายใจถูกกดทับ และการพลัดตก ส่วนกลุ่มเด็กโตคือ ไฟฟ้าดูด

คุณหญิงเดือนเพ็ญ กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นกิจกรรมค่ายเตรียมตัวรู้รอด จะช่วยบูรณาการและพัฒนาทักษะชีวิต แบ่งเป็น 5 ฐาน

1.ดูแลตนเองและป้องกันตนเองไม่ให้เกิดโรค 

2.เมื่อมีอาการผิดปกติ หรือเจอผู้ป่วยต้องแจ้งใครบ้างอย่างไร 

3.วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น เช่น การห้ามเลือด 

4.ฐานรับมือเมื่อเกิดภัย เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม

และ 5.ฐานบูรณาการ และสรุปการเรียนรู้ของเด็ก 

ซึ่งเด็กจะมีความรู้ทักษะช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นอย่างถูกต้องและปลอดภัย ซึ่งการให้ความรู้แก่เด็กจะได้ผลดีกว่าให้ความรู้เมื่อเด็กโตแล้ว โครงการดังกล่าว ได้จัดนำร่อง โดยมีโรงเรียนในพื้นที่สำนักงานเขตบางแคเข้าร่วม เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ทั้งหมดจำนวน 36 รายใน 6 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนเพชรเกษม โรงเรียนวัดพระสมุทรสุวรรณสามัคคี โรงเรียนวัดราษฎร์บำรุง โรงเรียนหมู่บ้านเศรษฐกิจ โรงเรียนวัดศาลาแดง และโรงเรียนบุณยประดิษฐ์

พญ.ณธิดา สุเมธโชติเมธา กลุ่มงานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลราชวิถี เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้จะช่วยปลูกจิตสำนึกให้เด็กรู้สึกว่า การเจ็บป่วยสามารถป้องกันตนเองได้ และปลูกฝังให้เด็กมีจิตใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในอนาคต ที่ผ่านมาในบ้านเรามีการเรียนการสอนเรื่องการปฐมพยาบาล หรือช่วยเหลือผู้ป่วยเมื่อเด็กโตแล้ว ส่งผลให้เด็กจะไม่กล้าทำ ไม่มีทักษะ ซึ่งต่างกับประเทศญี่ปุ่นที่สอนให้รู้จักวิธีเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ รวมทั้งความรู้และวิทยาการในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินมีความก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก  อย่างไรก็ตามอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายผลต่อให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ มีการปรับปรุงความรู้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และมีความถูกต้อง เพื่อประโยชน์ของตัวเด็ก