กระทรวงสาธารณสุข ให้บริการคลินิกชะลอไตเสื่อมในโรงพยาบาลครบ 100% ในโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง จนถึงโรงพยาบาลศูนย์ ดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังแบบองค์รวมโดยทีมสหวิชาชีพ ช่วยยืดระยะเวลาไตเสื่อมได้อีก 7 ปี พร้อมเพิ่มศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะเขตสุขภาพละ 1 แห่ง และเพิ่มศูนย์รับบริจาคอวัยวะในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง เพื่อให้ผู้ป่วยที่รอการเปลี่ยนไตมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น
เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันแถลงข่าวการให้บริการคลินิกชะลอไตเสื่อมในโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศครบ 100%
นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยโรคเรื้อรังมากขึ้น โดยเฉพาะเบาหวานและความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะแทรกซ้อนไตเรื้อรังซึ่งมีประมาณ 7.6 ล้านคน มีผู้ป่วยรายใหม่ปีละประมาณ 1 หมื่นคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ในจำนวนนี้ป่วยระยะสุดท้ายกว่า 70,000 คน ต้องฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้อง สร้างความทุกข์ทรมานให้ผู้ป่วย และเสียค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือสิทธิการรักษา ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ต้องรักษาโดยวิธีบำบัดทดแทนไต คือ 2 แสนบาทต่อคนต่อปี
กระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบายรณรงค์คัดกรองประชาชนอายุ 40 ปีขึ้นไป เพื่อให้ค้นพบผู้ป่วยหรือมีความเสี่ยงป่วยได้เร็วขึ้น รักษาเร็วขึ้น ลดการป่วยและเสียชีวิต หากพบความเสี่ยงจะตรวจเลือดและโปรตีนในปัสสาวะ เพื่อประเมินความสามารถในการทำงานของไต เพื่อจัดระบบการรักษาให้เหมาะสมกับระยะของการเจ็บป่วย ส่งผลดีต่อผู้ป่วย เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยที่จะเข้าสู่โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย รู้เร็ว รักษาเร็ว
ซึ่งขณะนี้ได้ให้บริการคลินิกชะลอไตเสื่อมในในโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง จนถึงโรงพยาบาลศูนย์ครบทุกแห่งทั่วประเทศ โดยมีทีมสหวิชาชีพ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักกายภาพ และนักโภชนากร ดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังแบบองค์รวม ช่วยยืดระยะเวลาไตเสื่อมไปได้อีก 7 ปี
ทั้งนี้ ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายกว่า 20 องค์กร ผลักดันนโยบายการลดบริโภคเกลือและโซเดียมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ และจัดทำร่างยุทธศาสตร์ลดบริโภคเกลือ (โซเดียม) ในประเทศไทยตลอดจนจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อควบคุมการบริโภคเกลือและโซเดียม เป็นการป้องกันโรคไตเรื้อรังอย่างยั่งยืน
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดให้โรคไต เป็น 1 ใน 13 สาขาหลักที่ต้องเร่งรัดพัฒนาระบบบริการให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดมาตรการในการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง 7 มาตรการ ได้แก่
1.เฝ้าระวัง ติดตาม คัดกรองโรคและพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรค และเชื่อมโยงการให้บริการจากระดับชุมชนกับสถานบริการ
2.สร้างความตระหนักให้กับประชาชนและกลุ่มเสี่ยง กลุ่มผู้ป่วย
3.เสริมสร้างสิ่งแวดล้อมลดเสี่ยงและการจัดการโรคไตเรื้อรังโดยชุมชน ให้มีการควบคุมปริมาณโซเดียมและน้ำตาลในอาหาร ตลอดจนกำหนดมาตรฐานฉลากสินค้า
4.ให้คำปรึกษาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
5.พัฒนาคุณภาพการบริการ โดยอาจให้บริการร่วมกับคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง มีระบบการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง มีการทำงานร่วมกับชุมชนและรพ.ในระดับที่สูงและต่ำกว่า ตลอดจนมีโปรแกรมการสอน และระบบสนับสนุนการดูแลตนเองของผู้ป่วยที่เข้ารับการพักรักษาในรพ.
6.เสริมสร้างบุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกระดับให้มีประสิทธิภาพ เข้มแข็ง มีการอบรมผู้ดูแลผู้ป่วย ตั้งแต่ อสม.จนถึงเจ้าหน้าที่ทุกสาขา และ
7.มีการติดตามและประเมินผล ซึ่งจะต้องมีการวางแนวทางการบริหารข้อมูล
นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขจะต้องเร่งรัดดำเนินการไปพร้อมๆ กันคือ การรับบริจาคอวัยวะ เพื่อให้ผู้ป่วยโรคไตได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ลดระยะเวลารอคอยการปลูกถ่ายอวัยวะ เพิ่มการรอดชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะและเพิ่มอัตราการคงอยู่ของอวัยวะที่ปลูกถ่าย ซึ่งขณะนี้คนบริจาคน้อยทำให้ขาดแคลนอวัยวะบริจาค รวมทั้งคุณภาพของอวัยวะที่บริจาคคุณภาพไม่ดี จึงได้มีนโยบายเพิ่มศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะเขตสุขภาพละ 1 แห่ง และเพิ่มศูนย์รับบริจาคอวัยวะในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง เพื่อให้ผู้ป่วยที่รอการเปลี่ยนไตมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น
โดยมียุทธศาสตร์การทำงานได้แก่ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน การสื่อสารประชาสัมพันธ์ เรื่องการบริจาคอวัยวะและการปลูกถ่ายอวัยวะ พัฒนาระบบบริการการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะในโรงพยาบาล พัฒนาบุคลากรและหน่วยบริการที่เกี่ยวข้องกับระบบบริจาคอวัยวะและการปลูกถ่ายอวัยวะ และการพัฒนาองค์ความรู้ การวิจัย เพื่อรองรับระบบการบริจาคอวัยวะและการปลูกถ่ายอวัยวะ
สำหรับวิธีปฏิบัติชะลอไตเสื่อม 5 ข้อ คือ
1.ดื่มน้ำให้เพียงพอ
2.ควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิตสูงให้อยู่ในระดับปกติ
3.งดเหล้า บุหรี่
4.หลีกเลี่ยงรสเค็ม
และ 5.หลีกเลี่ยงกินยาแก้ปวดเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริมที่ไม่มีทะเบียน
- 242 views