โรคมาลาเรียยังเป็นโรคติดต่อสำคัญในพื้นที่ป่าเขา แนวชายแดน ในเดือนมกราคม 2557 ตั้งแต่วันที่ 1 -26 พบผู้ป่วย 288 ราย จ. ตากมีอัตราป่วยสูงอันดับหนึ่งในประเทศ สาธารณสุขจัดทำโครงการนำร่องกวาดล้างโรค เริ่มในพื้นที่สูง โรคชุกชุมที่ อ.ท่าสองยาง ตั้งแต่วันที่ 29-31 มกราคม 2557 นี้ โดยใช้ 4 ยุทธศาสตร์ตรวจเลือดค้นหาผู้ป่วยใน 60 หมู่บ้าน ให้ยารักษาฆ่าเชื้อทันทีฟรี พ่นสารเคมีในบ้าน แจกมุ้ง แจกยาทากันยุงกัด พร้อมทั้งศึกษาสายพันธุ์ยุงก้นปล่อง พฤติกรรมออกหากิน เน้นย้ำประชาชนที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงมาลาเรียต้องป้องกันตนเอง หลังกลับภูมิลำเนา ถ้ามีไข้หนาวสั่น ต้องรีบพบแพทย์รักษาทันที
นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์โรคมาลาเรีย( Malaria) ในประเทศไทยว่า โรคนี้ยังเป็นปัญหาในพื้นที่ป่าเขา และตามแนวชายแดน เมื่อเจ็บป่วยแล้ว หากได้รับการรักษาไม่ทันเวลา อาจทำให้เสียชีวิตได้ สำนักระบาดวิทยา รายงานผลการเฝ้าระวังโรคในปี 2557 นี้ ตั้งแต่วันที่ 1 - 26 มกราคม พบผู้ป่วยโรคมาลาเรีย 288 ราย ไม่มีเสียชีวิต ผู้ป่วยร้อยละ 51 เป็นเกษตรกร อยู่ในวัยแรงงาน จังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ตาก ยะลา ระนอง อุบลราชธานี และตราด สาเหตุของโรคนี้ เกิดจากยุงก้นปล่องกัด ยุงชนิดนี้เป็นยุงอาศัยในป่า การดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้มาลาเรียที่ผ่านมาได้ผลดีขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากปี 2543ที่มีผู้ป่วย 140,500 ราย ในปี 2555 จำนวน 16,196 ราย เสียชีวิต 17 ราย ในปี 2556 จำนวน 14,685 ราย เสียชีวิต 9 ราย
กรมควบคุมโรค มีนโยบายจะกวาดล้างโรคมาลาเรียให้หมดไปจากประเทศไทย โดยในปีนี้ ได้จัดทำโครงดำเนินการในพื้นที่สูง เริ่มที่จังหวัดตากจังหวัดแรก โดยดำเนินการที่อำเภอท่าสองยาง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พบโรคนี้มากอันดับ 1 ในประเทศ ครอบคลุมทั้งหมด 60 หมู่บ้าน 6,000 หลังคาเรือน ประชาชนกว่า 15,000 คน เริ่มตั้งแต่ วันที่ 29-31 มกราคม 2557 นี้ โดยใช้ 4 มาตรการได้แก่
1. ตรวจเลือดค้นหาผู้ป่วยและให้การรักษาฟรีทันที เมื่อพบเชื้อ 2. พ่นสารเคมีชนิดฤทธิ์ตกค้าง แต่ไม่เป็นพิษกับผู้อยู่อาศัยในกระท่อมทุกหลังคาเรือน 3.แจกมุ้งชุบสารไพรีทรอยด์ ป้องกันยุงกัดทุกบ้าน ซึ่งสารดังกล่าวจะน็อคยุงเป็นอัมพาตและตายหลังสัมผัสสารที่เคลือบมุ้งภายใน 2 วินาที และ4. แจกยาทากันยุงให้แก่ผู้ที่ตรวจพบเชื้อมาลาเรียในเลือด หรือสงสัยว่าป่วยเป็นไข้มาลาเรีย เพื่อป้องกันยุงกัดและนำเชื้อไปแพร่สูคนอื่น โดยสามารถใช้ทาได้อย่างน้อย 3 วัน เป็นต้น มั่นใจว่าหากสามารถลดจำนวนผู้ป่วยในพื้นที่อำเภอท่าสองยางลง ก็ลดอัตราป่วยจากไข้มาลาเรียของจังหวัดและทั้งประเทศลงได้
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆในพื้นที่ควบคู่กัน ได้แก่ การให้ความรู้ และจัดเวทีการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ การสำรวจยุงก้นปล่องในพื้นที่ ศึกษาสายพันธุ์ยุงก้นปล่อง เวลาออกหากิน รวมทั้งนิสัยการหากินเหยื่อ การศึกษาแหล่งเพาะพันธุ์ยุง การศึกษาความต้านทานสารเคมีของยุง และการติดตามฤทธิ์คงทนของสารเคมีที่ใช้ชุบมุ้งคือสารไพรีทรอยด์ (Pyrethroid)ให้คงทนยาวนานกว่า 6 เดือน
นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า ในการป้องกันโรคมาลาเรีย คือต้องไม่ให้ยุงก้นปล่องกัด ผู้ที่อาศัยหรือประกอบอาชีพในพื้นที่ เช่น กรีดยาง ก่อนจะออกไปทำงานหรือไปกรีดยางในสวนยางพารา ควรทายากันยุงที่แขน ขา ใบหู หลังคอ ควรสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวสีอ่อนๆ เพราะการใส่เสื้อผ้าทึบจะดึงดูดความสนใจให้ยุงกัดได้มาก ส่วนประชาชนที่เดินทางไปเที่ยวในป่า อาจเสี่ยงเป็นโรคมาลาเรีย ควรเตรียมมุ้งหรือเต็นท์ชนิดที่มีตาข่ายกันยุง เพื่อกางนอนไปด้วย
ทั้งนี้ หลังกลับจากกรีดยางหรือทำงานในป่า หากมีอาการหนาวสั่น มีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน เบื่ออาหาร หรือปวดศีรษะมาก อาจปวดลึกเข้าไปในกระบอกตา กระสับกระส่าย เพ้อ กระหายน้ำให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลพร้อมแจ้งประวัติการเข้าป่า เพื่อได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง โดยการตรวจเลือดหาเชื้อมาลาเรีย และได้รับการรักษาที่รวดเร็ว โรคนี้มียารักษาหาย หากรักษาเร็วจะช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตได้ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะอาจทำให้เชื้อไข้มาลาเรียดื้อยา และทำให้อาการของโรครุนแรงยิ่งขึ้น ประชาชนที่มีความสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง
- 18 views