ผลสำรวจชี้เด็กไทย “ไอคิว-อีคิว” ต่ำ ต้องพัฒนาทักษะ 3 ด้าน ทั้งการคิด ภาษา และอารมณ์ กรมสุขภาพจิตชูชุดสื่อเทคโนโลยีเสริมคณิต พัฒนาการอ่านช่วยได้
วันนี้ (9 ม.ค.) นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหาระดับสติปัญญาเด็กไทย (ไอคิว) ยังเป็นเรื่องที่น่าห่วงและจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งล่าสุด ผลการสำรวจระดับไอคิวปี 2554 พบว่า มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 98.59 (ค่าเฉลี่ยปกติ 90-109) ซึ่งถือว่าเป็นค่าระดับสติปัญญาที่อยู่ในเกณฑ์ปกติแต่ค่อนไปทางต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับคะแนนการสอบประเมินผลนักเรียนนานาชาติในปี 2555 ที่พบว่า เด็กไทยมีทักษะทางด้านการคิดและการใช้ภาษาอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ดังเห็นได้จากผลสัมฤทธิ์การเรียนคณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์ มีคะแนนรวมอยู่ในอันดับที่ 50 จาก 65 ประเทศสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development - OECD) ขณะที่คะแนนความฉลาดทางอารมณ์ (อีคิว) เฉลี่ยในระดับประเทศก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ คือ มีค่าคะแนนอยู่ที่ 45.12 จากค่าคะแนนปกติ 50-100
นพ.เจษฎา กล่าวอีกว่า คนเราจะเกิดมามีความสามารถฉลาดหลักแหลม หรือเป็นคนที่ขาดความสามารถนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างแต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดยังคงเป็น “สมอง” ซึ่งพัฒนาการทางสมองเริ่มต้นมาตั้งแต่วัยเด็ก จึงจำเป็นต้องพัฒนาสมองของเด็ก สร้างเสริมความรู้ประสบการณ์ให้เหมาะสมกับวัยเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของสมอง พ่อแม่ ครู หรือผู้ปกครองเด็กจึงจำเป็นต้องมีความรู้และความเข้าใจในการส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านการคิด การใช้ภาษา และอารมณ์ให้ถูกต้องตามจังหวะและเวลาที่เหมาะสม กรมสุขภาพจิตจึงได้จัดทำชุดสื่อเทคโนโลยี “ส่งเสริมคิดคณิต...พัฒนาการอ่านเพิ่มศักยภาพเด็กไทย” ตลอดจนพัฒนาเทคโนโลยีสร้างเสริมทักษะชีวิตและทักษะสังคม (Social Story) รวมทั้งพัฒนาแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ 15 ข้อ เพื่อให้ครู/ผู้ดูแลเด็กในศูนย์เด็กเล็กและพ่อแม่ได้ใช้ในการสังเกตทักษะทางอารมณ์ของเด็ก เพื่อปลูกฝังให้เด็กรู้จักอารมณ์ตนเอง อดทนรอได้ มีน้ำใจ รู้จักยอมรับผิด กระตือรือร้น สนใจใฝ่รู้ ปรับตัวได้ มีความพอใจ และมีความสนุกสนานร่าเริงตามวัยของเด็ก
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การส่งเสริมและพัฒนาไอคิวและอีคิว เด็กไทย จำเป็นต้องพัฒนาทักษะ 3 ด้าน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับชีวิต โดยต้องเริ่มฝึกตั้งแต่วัยทารก ได้แก่ 1.ทักษะด้านการคิด ผู้ปกครองสามารถฝึกทักษะให้แก่เด็กด้วยกระบวนการทางคณิตศาสตร์ (Pre maths skill) โดยผ่านการเล่น หรือกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่สนุกสนาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเลี้ยงดู เช่น การเล่นนับสิ่งของ การจัดกลุ่มสิ่งของที่เหมือนกันหรือแยกกลุ่มสิ่งของที่ต่างกัน หรือการดูนาฬิกาที่จะช่วยให้เด็กสามารถเข้าใจจำนวน ตัวเลข รูปร่างและขนาดสิ่งของต่างๆ ได้ 2.ทักษะการใช้ภาษา สามารถฝึกได้โดย ผ่านกระบวนการพูดคุย การอ่าน หรือใช้เรื่องเล่า (Social Story) และ 3.ทักษะด้านอารมณ์ พ่อแม่ผู้ปกครอง ครู/ผู้ดูแลเด็กในศูนย์เด็กเล็กควรสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเด็กรวมทั้งส่งเสริมให้เด็กมีจิตอาสาทำสาธารณประโยชน์ ตลอดจนสังเกตทักษะด้านอารมณ์ของเด็กได้จากแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ 15 ข้อ ซึ่งมาจากแนวคิดการพัฒนาเด็กใน 3 ด้าน คือ ด้านดี ด้านเก่งและด้านสุข เพื่อนำไปใช้พัฒนาและส่งเสริมทักษะทางอารมณ์ในเด็กต่อไป
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผอ.สถาบันราชานุกูล กล่าวว่า ชุดสื่อเทคโนโลยี “ส่งเสริมคิดคณิต...พัฒนาการอ่านเพิ่มศักยภาพเด็กไทย” ประกอบด้วย แอนิเมชัน แผ่นพับ และสื่อการสอนถึงรายละเอียดของการฝึกทักษะด้านคณิตศาสตร์ ส่วนเทคโนโลยีสร้างเสริมทักษะชีวิตและทักษะสังคม (Social Story) จะเป็นสื่อการเรียนรู้ในรูปแบบหนังสือนิทานมีเนื้อหาที่รวบรวมมาจากสถานการณ์ที่เด็กจะต้องเผชิญจริงในสังคมที่ช่วยส่งเสริมด้านความเข้าใจภาษาแบบง่ายๆ ชัดเจนน่าสนใจเพื่อส่งเสริมให้เด็กมีพฤติกรรมที่เหมาะสม ที่สามารถใช้ส่งเสริมความเฉลียวฉลาดได้ ทั้งในเด็กปกติและในเด็กที่มีความล่าช้าทางสติปัญญา ภาษาและสังคม ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.rajanukul.com และในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ กรมสุขภาพจิตขอเชิญชวนพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานเข้าร่วมกิจกรรมสวนสนุกสำหรับเด็ก...คนพิเศษได้ที่สถาบันราชานุกูล ในวันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2557 ตั้งแต่เวลา 08.00- 15.00 น. ฟรี ตลอดงาน
- 9 views