บางกอกทูเดย์ - เป็นกระแสนำเชี่ยวถึงขั้น "อย่าเอาเรือเข้าไปขวาง" กับกรณีที่มีประชาชนผู้เสียหายเดินเข้ามาร้องเรียนเกี่ยวกับ "ยาฆ่าเชื้อตัวหนึ่ง" โดยมีวิธีใช้ด้วยการฉีดเข้าร่างกาย...ซึ่งขณะนี้สื่อบางฉบับก็ได้ทำการนำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อให้ผู้มีอำนาจใน "คณะกรรมการอาหารและยา" และ "กระทรวงสาธารณสุข" ได้รับทราบข้อมูลเพื่อให้ช่วยเรียกเก็บยาตัวดังกล่าวคืนเพื่อนำมาตรวจสอบ

แต่ ณ วันนั้นจนถึงวันนี้...เสียงตอบรับและความกระตือรือร้นกลับไม่มีอะไรที่คืบหน้าเลย...ซึ่งประชาชนก็รอฟังคำตอบว่า สุดท้ายแล้วยาตัวนี้สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตใช่หรือไม่?

"บางกอก ทูเดย์" ขอเรียกชื่อย่อของยานี้ว่า"Co." ก็แล้วกัน

โดยจากข้อมูลที่นักข่าวทำหน้าที่ลงไปสืบค้นพบว่า...ตามที่ขึ้นทะเบียนในประเทศ มีเอกชน 3 รายเป็นอย่างน้อยที่ทำการผลิตยานี้ (โดยสั่งซื้อวัตถุทางเคมีจากต่างประเทศมาเป็นส่วนประกอบ) เพื่อขายต่อให้กับโรงพยาบาลและเป็นยาใช้ภายในที่ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงจะทำการใช้ฉีดเข้าร่างกายได้

แต่จากกระแสข่าวที่ออกมา...ได้มีบริษัทเอกชนหนึ่งในจำนวนนั้นทำการ "ลักไก่" นำยาชนิดนี้ไปขายให้กับโรงพยาบาล ซึ่งไม่ได้คุณภาพมาตรฐานเพราะเป็นยา NonSterile ทั้งที่ยาตัวนี้จะต้องมีคุณสมบัติ Sterile

Non-Sterile Product เช่น ยารับประทาน ยาทาภายนอก ซึ่งไม่ใช่ยาปลอดเชื้อ

ส่วน Sterile Product คือ ยาปลอดเชื้อหรือยาใช้ภายใน ที่จำเป็นจะต้องมีส่วนผสมและองค์ประกอบของเคมีเนื้อยาค่อนข้างละเอียด และจะต้องผ่านกระบวนการผลิตด้วยขั้นตอนที่ มากกว่า Non-Sterile Product

และจากการพิจารณาผลการตรวจสอบกรณียา "Co." ตัวนี้...เจ้าหน้าที่ตรวจประเมินได้ทำการไปตรวจยาที่โรงงานของบริษัทเอกชนที่ได้รับการร้องเรียน พบว่า...วัตถุดิบที่ใช้ผลิตจัดเป็นยาที่ไม่ปลอดภัยหรืออันตราย เนื่องจากยาดังกล่าวใช้ฉีดเข้าสู่ร่างกายทางเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ

ประกอบกับทะเบียนตำรับยา "Co." ระบุวัตถุดิบที่ขึ้นทะเบียนไว้เป็น Sterile Product ทั้งที่อาจเป็น Non-Sterile Product ทางคณะทำงานฯ (ประชุมกันทั้งสิ้น 13 คน) จึงมีมติให้แจ้งบริษัทผู้ผลิตยาเอกชนแห่งนี้ ดำเนินการอย่างเร่งด่วน 2 อย่างคือ

1. เรียกเก็บยาทุกรุ่นคืนจากท้องตลาดภายใน 15 วัน2. ให้งดการผลิตและจำหน่ายยาเป็นการชั่วคราว พร้อมให้แจ้งแผนการแก้ไขปัญหาพร้อมระยะเวลาการแก้ไขมาให้สำนักยาเพื่อพิจารณา

สองเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติเพราะเป็นบทบัญญัติและข้อบังคับตามกฎหมาย...แต่ใครจะเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ส่งไปถึงมือผู้มีอำนาจตัดสินใจ "เซ็น" ในกระทรวงฯ เรื่องราวประเด็นนี้กลับมีความเห็นโต้กลับมาว่า...การเรียกเก็บยาคืนยังไม่ควรดำเนินการ

ด้วยเหตุผล...เพราะอาจกระทบการขาดยาทันที!!มันจึงเป็นเรื่องน่าสงสัยปนความฉงนงงงงว่าท่านไปตัดสินใจแทนบริษัทนั้นได้อย่างไร แล้วท่านไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนบ้างเลยหรือ

และเมื่อ"บางกอก ทูเดย์" เจาะลึกลงไปก็ถึงบางอ้อตรงที่ว่า...ระหว่างราคาค่าเคมีของตัวยาSterile Product กับ NonSterile Product มันมีราคาต่างกันสูงถึง 3 - 4 แสนบาทต่อกิโลตัว Sterile มีราคาประมาณที่ 4 - 5 แสนบาทต่อกิโลตัว Non-Sterile มีราคาอยู่ที่ 1 แสนบาทต่อกิโลที่สำคัญและดูเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดหัวใจมากที่สุดก็คือ...การมีคำสั่งโยกย้ายหัวหน้าผู้ตรวจโรงงานอย่างไม่มีเหตุผลให้ไปประจำในหน้าที่ตำแหน่งอื่นซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับงานที่เคยทำ

เขาคนนี้ก็เป็น "ข้าราชการน้ำดีคนหนึ่ง" ที่ทำงานอย่างหนักและซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ในกระทรวงสาธารณสุข...ซึ่งเขาก็รู้ตัวเอง และพูดสั้นๆ แต่โดนใจว่า "เรื่องนี้คงมีคนที่ไม่อยากให้ผมไปขวางทาง"

เพราะเหตุผลทั้งหมดนี้หรือไม่ที่ทำให้เรื่องราวปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข...??

ภายในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้...ประชาชนซึ่งเป็นญาติของผู้เสียชีวิตจะรวมตัวกันเอาเอกสารและหลักฐานพร้อมทนายไปยื่นเรื่องให้กับทาง"คณะกรรมาธิการรัฐสภา" เพื่อให้ช่วยพิสูจน์ว่าการเสียชีวิตของบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขา...ได้เกิดจากการใช้ยา "ผิดประเภท" ซึ่งไม่ได้คุณภาพตามสเปกตัวนี้หรือไม่

วันนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งกับภาพลักษณ์ของ "คณะกรรมการอาหารและยา"  และ "กระทรวงสาธารณสุข" ซึ่งถือเป็น "หัวเรือใหญ่" ที่มีไว้เพื่อปกป้องและรักษาความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน...แต่พวกท่านกลับเห็นชีวิตประชาชนเป็นผักปลา

เพราะเรื่องแบบนี้ในต่างประเทศถือว่ามันรุนแรงมาก...เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นความตายของประชาชน

โดยหน้าที่อันดับแรกของ "กระทรวงสาธารณสุข" เลยก็คือต้องเรียกเก็บยาคืน...เก็บทุกล็อตที่มีอยู่ในท้องตลาดกลับมาทั้งหมด...มิใช่สุ่มตัวอย่างทั้งที่ได้รับเรื่อง"ไม่ชอบมาพากล" เอามาตรวจแล้วบอกว่าใช้ได้ บอกว่าปลอดภัย"บางกอก ทูเดย์" จะยังคงตามติดเรื่องนี้โดยยืนอยู่บนพื้นฐานแห่งความถูกต้อง...และยืนเคียงข้างกลุ่มผู้เสียหายซึ่งก็คือประชาชน

ถึงเวลาแล้วที่ผู้มีอำนาจของ "คณะกรรมการอาหารและ ยา" และ "กระทรวงสาธารณสุข" จะต้องรีบออกมาชี้แจง...และคงต้องคิดเตรียมว่าพวกท่านจะรับมือกับเรื่องนี้กันยังไง?!--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ วันที่ 29 - 30 ต.ค. 2556--