ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งชาติ เสนอนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีกระทรวงการคลังให้ขึ้นภาษียาสูบ เพื่อลดการสูบบุหรี่ของประชาชนและป้องกันนักสูบหน้าใหม่
นพ.ประกิต กล่าวว่า โดยหลักการแล้วรัฐบาลควรจะขึ้นภาษียาสูบทุกปีในอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ และการประเมินผลการขึ้นภาษีต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของประชาชนครั้งล่าสุดโดย รศ.ธราดล เก่งการพานิช และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่สัมภาษณ์ผู้สูบบุหรี่ 1,299 คน หลังขึ้นภาษีหนึ่งเดือน สามเดือน และหกเดือน พบว่ามีผู้เลิกสูบบุหรี่ร้อยละ 2 เปลี่ยนไปสูบบุหรี่ยี่ห้ออื่นที่ราคาถูกกว่าร้อยละ 15.3 เปลี่ยนไปสูบยาเส้นร้อยละ 7.7 ซึ่งสรุปได้ว่า การขึ้นภาษียาสูบเมื่อเดือนสิงหาคม 2555 ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการสูบบุหรี่ลดลงมากเท่าที่ควร ทั้งนี้การคิดอัตราภาษีตามน้ำหนัก หนึ่งบาทต่อหนึ่งกรัมสำหรับบุหรี่ที่แจ้งราคาต้นทุนต่ำที่เพิ่งมีการนำมาใช้เป็นครั้งแรก บริษัทบุหรี่ได้แก้เกมโดยการทำให้มวนบุหรี่เล็กลงหรือสั้นลง เช่นทำให้บุหรี่หนักเพียงมวนละ 0.75 กรัม แทนที่เดิมบุหรี่แต่ละมวนมีน้ำหนักหนึ่งกรัม ทำให้เสียภาษีมวนละ 75 สตางค์ หรือ 15 บาทต่อซอง แทนที่จะเสียมวนละหนึ่งบาทหรือ 20 บาทต่อซอง เป็นอย่างต่ำ อีกประการหนึ่งคือ แม้จะมีการขึ้นภาษีบุหรี่ยาเส้นแต่ก็ขึ้นน้อยมาก ส่งผลให้ราคาขายปลีกบุหรี่ยาเส้นเพิ่มขึ้นจากห่อละ 5 บาท เป็นห่อละ 6 บาท และผลการขึ้นภาษีได้หมดไปแล้วหลังจากเวลาผ่านมาปีเศษ
นพ.ประกิต เสนอให้มีการขึ้นภาษีสรรพสามิตที่คำนวณตามราคาจาก 87% เป็น 89% หรือ 90% เต็มเพดานกฎหมาย หรือคิดตามน้ำหนัก 2.0 บาทต่อกรัม โดยเมื่อคิดคำนวณค่าภาษีจากวิธีใดได้มากกว่าก็ให้ใช้วิธีนั้น ส่วนยาเส้นก็ควรขึ้นภาษีให้ราคาขายปลีกสูงขึ้นเป็น 8-10 บาทต่อซอง โดยเน้นเฉพาะผู้ผลิตบุหรี่ยาเส้นรายใหญ่ ซึ่งมีกำไรสูงมากแต่เสียภาษีน้อยมาก ๆ ซึ่งหากมีการขึ้นภาษีตามนี้ จะส่งผลให้การสูบบุหรี่ลดลง เด็ก ๆ เข้ามาติดบุหรี่ลดลง ซึ่งจะช่วยรัฐลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ ส่วนในระยะกลางถึงระยะยาวควรจะมีการปรับโครงสร้างภาษียาสูบ ให้มีการคำนวณภาษียาสูบด้วยวิธีผสมคือ คิดทั้งตามน้ำหนักและคิดตามราคาต้นทุนที่บริษัทผู้ผลิตแจ้ง และควรจะลดจำนวนบุหรี่ปลอดภาษีที่อนุญาตให้นำติดตัวเข้ามาในประเทศไทยจากคนละ 200 มวนในปัจจุบันให้เหลือ 20 มวนหรือหนึ่งซองเท่ากับของฮ่องกง หรือห้ามนำติดตัวเข้าประเทศอย่างเช่นสิงคโปร์ ส่วนขาออกยังอนุญาตให้นำออกได้ ทั้งนี้มาตรการทางภาษีเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการแก้ปัญหาการสูบบุหรี่และยังทำให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษียาสูบเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยกับงบประมาณที่ต้องไปรักษาผู้ที่ป่วยจากการสูบบุหรี่
- 1 view