คมชัดลึก-  ประเทศไทยได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติในเรื่องการเข้าถึงบริการรักษาพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพทุกระดับอย่างครอบคลุมและทั่วถึง มีหลายประเทศนำไปเป็นต้นแบบในการปรับปรุงระบบสุขภาพภายในประเทศนั้นๆ ให้ดียิ่งขึ้น แต่ปัญหาที่พบได้ในปัจจุบันคือ

"ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนไทย" ยังคงสูงถึงปีละ 3 แสนล้านบาท สื่อความหมายว่า "ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ก็จริง แต่สุขภาพยังไม่ดีอย่างแท้จริง" เมื่อเป็นเช่นนี้ กระทรวงสาธารณสุขจำเป็นต้องเร่งปฏิรูประบบสุขภาพ แก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทาง คือ ปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพของการให้บริการ ลดการเจ็บป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้ และส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี

นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธาณสุขมีแผนปฏิรูประบบสุขภาพ 5 ปี (2556-2560) เป็นการปฏิวัติระบบสุขภาพประเทศไทยครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อให้การรักษาพยาบาล และการส่งเสริมสุขภาพ เข้าถึงประชาชนทุกระดับ ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนได้รับบริการที่ดี มีคุณภาพมาตรฐาน ทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม จากสถานบริการใกล้บ้าน หรือในพื้นที่ใกล้เคียง เชื่อมโยงการทำงานในสังกัดทุกระดับเป็นเครือข่าย รับ-ส่งผู้ป่วยระหว่างกันแบบไร้รอยต่อ และมุ่งพัฒนาความเชี่ยวชาญระบบบริการ ใน 10 สาขาหลัก ได้แก่ สาขาหัวใจและหลอดเลือด สาขามะเร็ง สาขาทารกแรกเกิด สาขาอุบัติเหตุ สาขาจิตเวช สาขาบริการหลัก 5 สาขา ได้แก่ สูติกรรม ศัลยกรรม อายุรกรรม กุมารเวชกรรม กระดูกและข้อ สาขาบริการปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และดูแลสุขภาพองค์รวม สาขาทันตกรรม สาขาไตและตา และสาขาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

"ปฏิรูปแล้ว ประชาชนต้องได้รับบริการที่มีคุณภาพสูงขึ้น ทั่วถึงขึ้น เป็นธรรมมากขึ้น คุณภาพชีวิตของประชาชนต้องดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น ภายในทศวรรษต่อไปของกระทรวงสาธารณสุข คนไทยจะมีสุขภาพแข็งแรงเพิ่มขึ้น ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ ลดตาย ลดป่วย เข้าถึงบริการ และไม่ต้องรอคิวนาน มาหาหมอต้องเจอหมอ มารักษาก็ต้องรีบให้การรักษาโดยเร็ว ประชาชนต้องได้ยาดีเหมือนกัน ภายใต้แนวคิด สุขภาพดี เริ่มต้นที่...กระทรวงสาธารณสุข"

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวย้ำด้วยว่า เป้าหมายหลัก คือ ต้องจัดการโรคมะเร็ง อุบัติเหตุ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอด ทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าถึงบริการ จัดการปัญหาที่ประชาชนประสบอยู่ให้ได้ แต่ละพื้นที่มีอัตราการตายด้วยโรคต่างๆ ไม่เท่ากัน ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน ถ้าแบ่งเขตบริการสุขภาพจะช่วยได้ แล้วสามารถให้บริการเบ็ดเสร็จในแต่ละเขตได้ ให้เกิดความเท่าเทียมกันทั้ง 12 เขตทั่วประเทศ สรุปคือ ลดอัตราการตาย ลดอัตราป่วย เข้าถึงบริการ และไม่ต้องรอคิวรักษานาน เช่น คิวผ่าตัดต้อกระจก คิวผ่าตัดโรคหัวใจ

สุดท้าย... คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น อายุยืนยาวขึ้น โดยตั้งเป้าอายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี (Healthy Adjusted Life Expectancy : HALE) อยู่ที่ 72 ปี

ทางด้าน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเสริมว่า นโยบายปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุขขั้นปฏิบัติจะมีการกระจายอำนาจในการบริหารจัดการลงไปในระดับพื้นที่ โดยแบ่งพื้นที่บริการสุขภาพของประเทศออกเป็น 12 เขตบริการสุขภาพและเขตกรุงเทพมหานคร

"แต่ละเขตบริการสุขภาพจะดูแลประชาชกรประมาณ 4-6 ล้านคน ซึ่งเป็นขนาดที่ดูแลได้ทั่วถึง และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในแง่ของการลงทุนด้านงบประมาณ ในการพัฒนาศักยภาพของแต่ละเครือข่ายให้สามารถให้บริการโรคที่มีความซับซ้อน หรือต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงได้ เช่น ผ่าตัดหัวใจ รักษาโรคมะเร็ง การปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น การจัดระบบบริการสุขภาพที่เกิดขึ้น จะช่วยลดอัตราการตายด้วยโรคสำคัญๆ ที่เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ โดยเขตบริการสุขภาพทั้ง 12 เขต จะดำเนินการบริหาร จัดการร่วมกัน ตามแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ 10 สาขา"

ข้อดีของการบริหารจัดการในรูปแบบเขตบริการ ได้แก่ ลดการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัด โดยให้สถานบริการในแต่ละเขตบริการใช้ทรัพยากรร่วมกัน และมีการวางแผนพัฒนาสถานบริการในเครือข่ายตามลำดับความสำคัญ เป็นการใช้งบประมาณในการพัฒนาอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ การมอบอำนาจการตัดสินใจให้เขต ทำให้การบริหารจัดการในเขตรวดเร็วขึ้น และทุกคนได้มีส่วนร่วมในการบริหารมากกว่าการรวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจไว้ที่กระทรวง

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญด้านการส่งเสริมสุขภาพในพื้นที่ผ่านกลไกสำคัญ คณะกรรมการระดับอำเภอ ส่วนในระดับเขตจะมีคณะกรรมการเขตซึ่งมีผู้ตรวจราชการเขตเป็นหัวหน้าคณะ เป็นกลไกในการบริหาร ดำเนินการในรูปของคณะกรรมการที่เน้นการมีส่วนร่วม สำหรับบทบาทหน่วยงานในส่วนกลาง กระทรวงสาธารณสุขจะทำหน้าที่กำหนดนโยบาย วางมาตรฐานติดตาม กำกับ จัดเฝ้าระวังให้ดำเนินงานตามที่กำหนด การปฏิรูปสุขภาพครั้งนี้ เพื่อให้คนไทยสุขภาพดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามแนวความคิด "สุขภาพดี เริ่มต้นที่...กระทรวงสาธารณสุข"

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก  วันที่ 12 ตุลาคม 2556