คมชัดลึก - สังคมไทยน่าห่วงคนก่อเหตุทำร้ายผู้หญิง-เด็กเฉลี่ยทุก 20 นาที เผยอันดับ 1 ตบตีทำร้ายร่างกายมากสุดในผู้ใหญ่ ส่วนเด็กวิกฤติสุดถูกข่มขืนคุกคามทางเพศหนัก เตือนพ่อตบตีแม่ ส่งผลลูกเป็นกะเทย-ทอม
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม สธ.เผยในรอบ 5 ปีสังคมไทยใช้ความรุนแรง ทำร้ายสตรีและเด็กต้องส่งโรงพยาบาลภาครัฐจำนวน 117,506 ราย เฉลี่ยก่อเหตุทุก 20 นาที ปัญหาอันดับหนึ่งของผู้ใหญ่คือถูกทำร้ายร่างกาย ส่วนในเด็กคือถูกคุกคามทางเพศ โดยเฉพาะเด็กที่เกิดจากครอบครัวที่มีปัญหาพ่อแม่ตีกัน อาจมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง หรือบางครั้งเด็กผู้หญิงจะห้าวเหมือนเด็กชาย เพราะต้องการปกป้องแม่ ขณะที่เด็กชายไม่อยากเลียนแบบความเป็นชายจากพ่อจะอ่อนแอคล้ายเพศหญิง เพราะมองว่าผู้ชายเป็นเพศชอบทำร้ายผู้หญิง แนะพ่อแม่จะต้องช่วยกันสร้างครอบครัวให้อบอุ่นโดยเฉพาะช่วงวัยเด็กแรกเกิดถึง 2 ขวบ
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ความรุนแรงในเด็กและสตรีเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันในสังคมไทย โดยนับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งนี้จากสถิติการให้บริการของศูนย์พึ่งได้ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2550-2554 มีเด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรงต้องส่งเข้ารับบริการจำนวน 117,506 ราย เฉลี่ยปีละ 23,501 ราย หรือก่อเหตุทุก 20 นาที ล่าสุดปี 2554 มีเด็กและสตรีถูกกระทำจำนวน 22,565 ราย เป็นเด็ก 11,491 ราย เป็นหญิงอายุ 18 ปีขึ้นไป 11,074 ราย
"ปัญหาที่พบในกลุ่มเด็กอันดับ 1 คือ การถูกล่วงละเมิดทางเพศ พบ 8,518 ราย รองลงมาคือทางร่างกาย 2,413 ราย และทางด้านจิตใจ 262 ราย ผู้ทำร้ายส่วนใหญ่คือคนรู้จัก สาเหตุหลักคือผู้กระทำได้รับแรงกระตุ้นจากสื่อลามก ความใกล้ชิดและโอกาสเอื้ออำนวย รองลงมาคือการดื่มสุรา ใช้สารเสพติด ส่วนการบาดเจ็บในกลุ่มผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไป อันดับ 1 คือการถูกกระทำต่อร่างกาย เช่นถูกทุบตี 8,716 ราย ผู้ทำร้ายส่วนใหญ่เป็นผู้ใกล้ชิด เช่น สามี แฟน สาเหตุอันดับ 1 ได้แก่ การนอกใจ ทะเลาะ หึงหวง รองลงมา คือเมาสุรา และใช้สารเสพติดอื่นๆ" นายสรวงศ์กล่าว
นายสรวงศ์ กล่าวว่า การกระทำรุนแรงส่วนใหญ่เกิดขึ้นในครอบครัว ซึ่งสังคมไทยยังมีความเชื่อว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรเปิดเผยให้ใครทราบ และเด็กจะตกเป็นเหยื่อความรุนแรงได้ง่าย เพราะไม่รู้เท่าทันผู้ใหญ่ ไม่มีประสบการณ์ป้องกันตัวเอง โดยเด็กจะถูกขู่ไม่ให้บอกใคร หรือครอบครัวไม่ยอมให้เปิดเผยเพราะกลัวอับอาย จึงต้องเร่งกระตุ้นให้สังคมไทยเกิดความตระหนัก และร่วมกันแก้ไขป้องกัน ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งหน่วยบริการเฉพาะคือศูนย์พึ่งได้ในโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศให้บริการแบบสหวิชาชาชีพ และครบวงจร ทั้งด้านการแพทย์ ซึ่งให้การดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ การสังคมสงเคราะห์ ด้านกฎหมาย
ขณะที่พญ.เบญจพร ปัญญายง ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากข้อมูลระบบเฝ้าระวังการบาดเจ็บรุนแรงแห่งชาติ (IS) ปี พ.ศ. 2550-2555 การบาดเจ็บรุนแรงในผู้หญิงจากการถูกทำร้ายด้วยวิธีต่างๆ พบว่าการถูกทำร้ายโดยการใช้กำลังกาย รวมอาละวาด หรือต่อสู้โดยไม่ใช้อาวุธมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 32 หรือประมาณ 1 ใน 3 ของเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด มีข้อสังเกตว่าหากมีอาการมึนเมาทั้งคู่ การบาดเจ็บจะรุนแรงกว่าคนที่อีกฝ่ายไม่ได้ดื่มเหล้าอันเนื่องจากการขาดสติยั้งคิด รองลงมาคือการถูกทำร้ายโดยการใช้อาวุธไม่มีคมร้อยละ 21 ถูกทำร้ายโดยการใช้อาวุธมีคมร้อยละ 19 ถูกทำร้ายโดยการใช้อาวุธปืนไม่ระบุชนิดร้อยละ 11 การถูกทำร้ายโดยไม่ระบุวิธี รวมลอบสังหาร ฆาตกรรม ร้อยละ 7 การถูกทำร้ายทางเพศโดยการใช้กำลังกาย รวมการข่มขืน ร้อยละ 4
พญ.เบญจพร กล่าวต่อว่า จากการศึกษารายกรณีที่เป็นผู้ก่อความรุนแรง พบว่ามีประวัติอยู่ในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงมาก่อน หรืออาศัยอยู่ในสังคมแวดล้อมที่มีใช้ความรุนแรงในครอบครัว ทำให้ซึมซับพฤติกรรมรุนแรงและเกิดความเคยชิน เมื่อมาประสบกับปัญหาจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการรุนแรงและก้าวร้าวเช่นกัน และหากพบว่าครอบครัวที่มีพ่อทำร้ายแม่ จะทำให้ลูกสาวมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนมาทางชาย เนื่องจากไม่ต้องการให้ตนเองอ่อนแอเหมือนแม่ และมีพฤติกรรมก้าวร้าวปกป้องตนเองและแม่ไม่ให้ถูกทำร้าย ส่วนครอบครัวที่มีลูกชายก็จะมีพฤติกรรมกลายเป็นผู้หญิงแทน มีอาการเศร้าซึม เก็บตัว ไม่อยากเป็นผู้ชาย เพราะมองว่าผู้ชายชอบทำร้ายผู้หญิง
"ในการป้องกันปัญหาการใช้ความรุนแรง พ่อแม่จะต้องช่วยกันสร้างครอบครัวให้เป็นสุข และให้ความอบอุ่นแก่ลูกทุกคน สร้างความรักและความผูกพันกับลูกๆ โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดถึง 2 ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่ต้องพึ่งพาพ่อแม่และเป็นช่วงที่สมองของเด็กพัฒนามากที่สุด ในการอบรมลูกควรเลือกใช้วิธีอื่นแทนการเฆี่ยนตี เช่น ทำงานชดเชย งดเที่ยวเล่น เป็นต้น และไม่ควรใช้ความรุนแรงทั้งพฤติกรรมและวาจาต่อหน้าเด็ก แม้ว่าเด็กจะดูเหมือนว่ายังไม่รู้เรื่องก็ตาม สิ่งที่เด็กเห็นหรือสัมผัสจะฝังอยู่ใต้จิตสำนึกของเด็กตลอดไป" พญ.เบญจพร กล่าว--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันที่ 7 ตุลาคม 2556
- 550 views