ข่าวสด - อีกไม่นานคำว่าประชาคมอาเซียนจะทำให้ เกือบทุกเรื่องในภูมิภาคนี้มีความเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม หรือ ประชากร การวางแผนเพื่อรองรับการพัฒนาจึงถือเป็นบทบาทที่สำคัญในช่วงเวลานี้

เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไทยและเมียนมาร์ ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข 7 สาขา ได้แก่ 1.การเฝ้าระวังโรค 2.การควบคุมมาตรฐานอาหารและยา 3.การแพทย์พื้นบ้าน 4.การควบคุมผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง

5.การควบคุมโรคติดต่อและโรคติดต่ออุบัติใหม่ โดยเฉพาะโรคระบาดข้ามเขตแดน 6.การส่งเสริมสุขภาพ และ 7.การพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับแรงงานต่างด้าวและประชากรข้ามพรมแดน โดยจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมกันระหว่าง พ.ศ.2556-2558 เตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งจะทำให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการพัฒนาบุคลากรและการศึกษาวิจัยร่วมกัน

ในการประชุมมีการจับคู่หน่วยงานที่มีภารกิจคล้ายกันเพื่อนำไปสู่การวางแผนพัฒนางาน โดย นพ. ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สธ. นำทัพไปร่วมประชุม บอกว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนความร่วมมือในทุกด้าน ซึ่งพบว่าแต่ละปี ประเทศไทยส่งออกอาหารและเครื่องสำอางมายังเมียนมาร์จำนวนมาก ก็ต้องมีการสร้างมาตรฐานและควบคุม ขณะที่อีกด้านก็พบ

ปัญหาสาธารณสุขสำคัญ เช่น โรคมาลาเรีย วัณโรค เอดส์ ซึ่งต้องวางแผนเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน

นอกจากนี้ยังมีแผนการพัฒนาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของกลุ่มแรงงานต่างด้าวและประชากรข้ามเขตแดนด้วยการจัดให้มีหลักประกันสุขภาพที่เหมาะสม เช่น บัตรประกันสุขภาพ เพื่อเพิ่มความสำเร็จการรักษาผู้ป่วยวัณโรคหายขาดจากร้อยละ 85 เป็นร้อยละ 90 รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรสาธารณสุขทั้ง 2 ประเทศ และ

อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว พื้นที่เป้าหมายที่จะร่วมกันใน 4 จังหวัดคู่แฝด ได้แก่ เชียงรายกับท่าขี้เหล็ก ตากกับเมียวดี กาญจนบุรีกับทวาย และระนองกับเกาะสอง โดยมีกรมควบคุมโรครับผิดชอบหลัก และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมดำเนินการ

ด้าน ศ.พี เธท คิน (Prof. Pe Thet Khin) รัฐมนตรีสาธารณสุขแห่งสหภาพเมียนมาร์ บอกว่า สุขภาพคนชายเดน จากนี้ชาวเมียน มาร์จะได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมมากขึ้น ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ จะนำไปสู่การทำงานอย่างจริงจังเพื่อควบคุมการดื้อยา การสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน ซึ่งเมียนมาร์จะศึกษาประสบการณ์จากประเทศต่างๆ ในการสร้างหลักประกันสุขภาพของประชาชน

สุขภาพของประชากรทั้งภูมิภาคก็จะดีอย่างทั่วหน้า

ที่มา--ข่าวสด ฉบับวันที่ 27 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)--