Hfocus- ศาสตราจารย์ แอนน์ มิวส์ (Anne Mills) จาก London School of Hygiene & Tropical Medicine, University of London เป็นผู้ที่ติดตามพัฒนาการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในประเทศไทยมานาน รวมถึงยังมีผลงานการศึกษาด้านเศรษฐศาตร์สุขภาพในประเทศกำลังพัฒนาอีกหลายประเทศ เมื่อไม่นานมานี้ Hfocus ได้มีโอกาสพูดคุยกับศาสตราจารย์มิวส์ในเรื่องมุมมองต่อระบบสุขภาพในประเทศไทย

คุณมองสถานการณ์ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (ยูซี  :  Universal Health coverage : UC) เช่นไรในปัจจุบัน และมีความท้าทายใดในอนาคต?

เป็นการตัดสินใจที่ดีมากที่ได้มีการเริ่มนำยูซีมาปรับใช้ในปี 2544 สิ่งที่ดีที่สุดคือการที่ระบบสามารถทำให้ผู้คนได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึง การพัฒนาการของยูซีน่าสนใจมาก นักเศรษฐศาสตร์ต่างให้ความสนใจการออกแบบยูซี โดยเฉพาะการใช้ระบบเหมาจ่ายรายหัว เพราะยิ่งทำให้ประเทศไทยสามารถจ่ายให้กับยูซี อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในยูซีนั้นได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ประเทศไทยจะมีมาตรการควบคุมค่าใช้จ่าย แต่ดิฉันคิดว่ายูซีจะได้รับความกดดันในอนาคต รวมถึงความกดดันที่จะเกิดขึ้นกับโรงพยาบาล ความแออัดของผู้ป่วย และการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ดังนั้น การบริหารงบประมาณยูซีในอนาคตนั้นต้องทำควบคู่ไปกับการทำให้การรักษาพยาบาลยังคงเข้าถึงได้

เราจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาที่ตามมาเหล่านั้นได้อย่างไร?

คุณจะต้องเน้นการสร้างความเข้มแข็งในการบริการระดับปฐมภูมิ ประเทศไทยมีการบริการระดับปฐมภูมิที่อ่อนแอ หากเป็นที่ประเทศอังกฤษ ผู้ป่วยต้องเข้ารับบริการระดับปฐมภูมิก่อนที่จะไปโรงพยาบาล ซึ่งมีไว้สำหรับการรักษาระดับสูง ซึ่งจะไม่ทำให้โรงพยาบาลแน่นหรือบุคลากรทางการแพทย์มีงานล้นมือ ผู้ป่วยจำนวนมากที่ป่วยด้วยอาการธรรมดาที่การบริการระดับปฐมภูมิสามารถให้การดูแลได้ ประเทศอังกฤษมีปัญหาคล้ายๆประเทศไทยในช่วงแรกๆของการเริ่มใช้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีการร้องเรียนไปถึงรัฐบาลถึงเรื่องความไม่พอใจในการรักษา บุคลากรด้านการแพทย์มีงานล้นมือ และอื่นๆ ประเทศอังกฤษจึงต้องก่อตั้งองค์กรแยก National Health Service เพื่อบริหารระบบให้เกิดประสิทธิภาพ

แต่หากว่าด้วยเหตุผล นี่คือความจริงของชีวิต ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลนั้นมีราคา โดยเฉพาะในยุคเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งมาพร้อมกับความต้องการด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น

ประเทศไทยก็กำลังเข้าสู่สัมคมผู้สูงอายุเช่นกัน คุณมองว่าเราก็จะประสบปัญหาเช่นกันไหม?

แน่นอน คุณกำลังเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วมากทีเดียว คุณต้องคิดถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นและหาแนวทางมาแก้ปัญหา มิฉะนั้น ปัญหาจะก่อเกิดขึ้นในโรงพยาบาลต่างๆที่ต้องแบกรับผู้สูงอายุจำนวนมาก ในความเป็นจริงแล้ว การที่ผู้คนมีอายุมากขึ้นนั้นมิใช่ว่าพวกเขาจะมีปัญหาด้านสุขภาพมากขึ้นตามมา แต่พวกเขาอาจไม่สามารถดูแลตัวเองได้มากกว่า ดังนั้น การที่พวกเขาเข้าพักที่โรงพยาบาลหนึ่งๆ อาจเป็นเพียงเพราะพวกเขาต้องการใครสักคนมาดูแล มิใช่เพราะปัญหาด้านสุขภาพ มันไม่ใช่แนวคิดที่ดีเลย ที่คุณจะเก็บผู้คนไว้ที่โรงพยาบาลเพียงเพราะพวกเขาไม่สามารถทำอาหารเองได้ หรือไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงนอน มันเป็นการใช้เตียงในโรงพยาบาลที่สิ้นเปลือง

ดิฉันจึงมองว่า คุณต้องมีการวางระบบการดูแลผู้สูงอายุตั้งแต่วันนี้ สร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการดูแลทางสังคมและระบบการรักษาพยาบาลไปพร้อมๆกัน เช่น การมีอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุตามบ้าน หรือ รัฐบาลอาจต้องมีเงินสนับสนุนให้แก่หน่วยงานหรือองค์กรไม่หวังผลประโยชน์ ในการมาดูแลผู้สูงอายุ

ตอนนี้ งบประมาณเหมาจ่ายรายหัวได้เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า คุณมองว่าควรมีการแก้ปัญหาอย่างไร?

ดิฉันไม่แน่ใจว่านั่นคือปัญหา แม้ค่าเหมาจ่ายรายหัวของคุณจะเพิ่มขึ้น แต่คุณยังคงสามารถรักษาระดับค่าใช้จ่ายรวมด้านสุขภาพต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมไว้ได้สม่ำเสมอ ระบบยูซีให้การเข้าถึงการรักษาพยาบาลแก่ประชาชน นั่นเป็นวิธิการใช้เงินจากรัฐบาลที่คุ้มค่ามาก อย่างไรก็ตาม เพราะคุณกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คุณอาจต้องมีการปรับงบเหมาจ่ายรายหัวให้จ่ายตามกลุ่มประชากร เพราะผู้สูงอายุต้องการการรักษาพยาบาลมากกว่ากลุ่มคนหนุ่มสาว

ประเทศไทยสามารถบริหารค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลได้ดีอยู่แล้ว สิ่งที่คุณควรกังวลมากกว่า คือ การควบคุมคุณภาพการรักษาในอนาคต

รัฐบาลกำลังจะมีการใช้การจ่ายค่าตอบแทนตามภาระงาน คุณคิดว่านั่นเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยควบคุมคุณภาพในการรักษาได้หรือไม่?

มันยากที่จะวัดคุณภาพจากภาระงาน วิธีการนี้อาจมีผลดีในระยะสั้น คุณต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากในการหาตัวชี้วัดของคุณภาพ คุณรู้ไหมว่า พฤติกรรมใดที่ทำให้หมอคนหนึ่งทำเพื่อได้เงิน ถ้ามันคือการไปทำงานในชนบทเพื่อได้รับค่าตอบแทนเพิ่ม นั่นไม่เป็นไร แต่ถ้ามันคือการที่หมอคนหนึ่งพบผู้ป่วยมากขึ้น ให้ยามากขึ้น นั่นอันตรายมากทีเดียว

ดิฉันคิดว่า ยังมีวิธีอื่นๆที่ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานอย่างมีคุณภาพ เช่น การสร้างคุณค่าในการบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพ การสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างโรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และนักวิชาการ หรือการมอบรางวัลที่ไม่ใช่ตัวเงินให้กับผู้ปฏิบัติงานที่มีคุณภาพ

คุณคิดอย่างไรกับการที่ประเทศไทยมีระบบประกันสุขภาพที่แยกออกเป็นสามกองทุน?

ในระยะยาว ดิฉันคิดว่าคุณมีความจำเป็นที่จะต้องรวมสามกองทุนสุขภาพเข้าด้วยกัน โดยดึงเรื่องสุขภาพมาอยู่กองทุนเดียว ส่วนกองทุนไหนจะมีสวัสดิการสังคมก็ทำไป แต่เรื่องสุขภาพต้องเป็นกองทุนเดียว มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่คุณไม่สามารถรวมกองทุนได้ตั้งแต่เริ่มแรก ดิฉันเข้าใจว่าเป็นเพราะความยากบางประการ คุณมีระบบสวัสดิการข้าราชการที่มีอิทธิพลมาก แต่ละกองทุนมีการจัดการด้านการเงินที่แตกต่าง งบประมาณส่วนมากถูกส่งเข้าระบบสวัสดิการข้าราชการ และระบบประกันสังคมของคุณมีการจัดการโดยผู้ว่าจ้างงานและกลุ่มผู้ค้า นั่นหมายถึงการมีผลประโยชน์จากการที่มีกองทุนแยก มีหลายประเทศ เช่น บราซิล คอสตาริกา ที่สามารถจัดการกองทุนแตกแยกได้ ดิฉันจึงคิดว่า ประเทศไทยจะสามารถรวมกองทุนได้ในท้ายที่สุด แต่นั่นคงต้องใช้เวลา

ได้ยินว่าคุณมีความสนใจในการศึกษาความความสัมพันธ์ระหว่างบริการสุขภาพภาคเอกชนและรัฐบาล คุณเล่าได้ไหมว่าคุณพบอะไรบ้างจากการศึกษา?

ในหลายประเทศ ทรัพยากรกระจุกตัวอยู่ในภาคเอกชน  ดีที่ประเทศไทยอนุญาตให้ผู้คนได้ใช้บริการทางการแพทย์ภาคเอกชน ทั้งที่ให้ผู้ป่วยจ่ายค่าบริการเองหรือใช้หลักประกันสุขภาพ ผู้ได้รับสิทธิประโยชน์จากระบบประกันสังคมสามารถเลือกที่จะลงทะเบียนกับโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งดิฉันคิดว่านี่มีเหตุมีผล เพราะนั่นหมายความว่า รัฐบาลสามารถใช้ทรัพยากรของภาคเอกชนได้ ในขณะที่สามารถควบคุมคุณภาพและราคาของการให้บริการ มันสำคัญมากที่จะรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างภาครัฐและเอกชน

กลุ่มคนมีปัญหาด้านสถานะและสิทธิในประเทศไทยยังคงมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงบริการด้านการแพทย์ คุณคิดว่า ปัญหานี้จะแก้อย่างไรได้บ้าง?

นี่เป็นปัญหาของทุกระบบสุขภาพ ดิฉันคิดว่า ไม่ว่าจะประเทศใดๆ รัฐบาลต้องหาวิธิการให้ทุกคนได้เข้าถึงบริการด้านการแพทย์อย่างเป็นธรรม ทางหนึ่งอาจจะเป็นการที่รัฐบาลช่วยสนับสนุนให้อาสาสมัครหรือองค์กรมาช่วยดูแลคนกลุ่มนี้