รัฐมนตรีว่าการ สธ.สั่ง อย.ทำ'ฉลากอาหาร'รูปแบบใหม่ เน้น แจ้งปริมาณ'น้ำตาล-เกลือ'ด้วยภาษาเข้าใจง่าย พร้อมบอกวิธี เผาผลาญออกจากร่างกาย และอันตรายจากการบริโภคเกิน
เมื่อวันที่ 3 กันยายน นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินการจัดทำฉลากอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและเกลือใหม่ โดยให้ระบุปริมาณน้ำตาลและเกลือด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย พร้อมกับวิธีการเผาผลาญออกจากร่างกาย และผลกระทบหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย เช่น น้ำตาล 2 ช้อน แทนการบอกเป็นมิลลิกรัม การเผาผลาญต้องวิ่งเป็นเวลา 20 นาที หรือเกลือ หากได้รับปริมาณมากเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น โดยอาจจะทำเป็นสติ๊กเกอร์ติดที่ซองอาหารเพิ่มเติมจากฉลากเดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งได้กำชับให้ดำเนินการแล้วเสร็จโดยเร็ว
"การติดฉลากดังกล่าวจะช่วยให้ประชาชนเข้าใจปริมาณส่วนผสมน้ำตาลและเกลือในอาหารที่กินแต่ละครั้ง จะได้คำนวณปริมาณการได้รับน้ำตาลหรือเกลือในแต่ละครั้งของการบริโภค หากได้รับปริมาณมากเกินไปจะเกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างไร รวมถึงบอกวิธีการเผาผลาญเพื่อกำจัดออกจากร่างกายให้ประชาชนรู้และปฏิบัติด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากน้ำตาลและเกลือเป็นสาเหตุสำคัญของโรคเรื้อรังที่คนไทยเป็นกันมาก คือ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง หากประชาชนได้อ่านฉลากนี้จะได้ระมัดระวังตัวเอง ไม่กินอาหารที่มีน้ำตาลและเกลือมากเกินไป" นพ.ประดิษฐกล่าว และว่า ปัจจุบันพบว่าทั่วประเทศไทยมีผู้ป่วยโรค เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ประมาณ 3.5 ล้าน คน โดยเมื่อปี 2554 สธ.ได้ตรวจคัดกรองประชาชนอายุ 35 ปีขึ้นไป จำนวน 22.2 ล้านคน พบผู้ป่วยเบาหวาน 1,581,857 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อน 277,020 ราย คิดเป็นร้อยละ 18 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด โดยมีภาวะแทรกซ้อนทางไตมากที่สุด เช่น ไตวาย ร้อยละ 25 รองลงมา คือ แทรกซ้อนทางตา เช่น ตาต้อกระจก ต้อหินร้อยละ 23 คาดการณ์ว่าในอีก 8 ปีข้างหน้า ไทยจะพบผู้ป่วยถึง 4.7 ล้านราย เสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 52,800 ราย แนวโน้มพบในเด็กมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้เด็กไทยเผชิญความอ้วนมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ คาดการณ์ว่าในปี 2553 ทั่วโลกมี ผู้ป่วยเบาหวานอายุ 20-79 ปี จำนวน 285 ล้านคน จะเพิ่มเป็น 438 ล้านคน ในปี 2573 ในจำนวนนี้ 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย ที่สำคัญคือ มีเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี 4.4 แสนคน ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลิน และแต่ละปีมีเด็กมากกว่า 70,000 คน มีแนวโน้มป่วยเป็นเบาหวานชนิดนี้ ซึ่งจะทำให้มีอายุสั้นลง อีก 10-20 ปี โดยพบในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากที่สุด
ที่มา --มติชน ฉบับวันที่ 5 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)--
- 1 view