เป็นข่าวที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เมื่อศูนย์ฝึกสุนัขของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ฝึกสุนัขให้ดมหา กลิ่นโรคมะเร็งรังไข่ในผู้หญิง
นักวิจัยได้ฝึกสุนัข 3 ตัว 3 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์สปริงเกอร์ สแปเนียล, สายพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ และ สายพันธุ์ เยอรมันเชพเพิร์ด ให้ดมหากลิ่นของสารประกอบของโรคจากตัวอย่างเลือดและเนื้อเยื่อของผู้ป่วยโรคมะเร็งรังไข่ เนื่องจากเคยศึกษาว่ามะเร็งรังไข่ระยะแรกจะทำให้เกิดสารประกอบที่มีกลิ่นขึ้นในร่างกาย
สอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ อย่างรศ.นสพ.ดร.นริศ เต็งชัยศรี ภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกสัตว์เลี้ยง คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำให้ทราบว่า สุนัขมีความสามารถรับกลิ่นมากกว่าในมนุษย์ 25 เท่า และสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับรู้กลิ่นมีขนาดใหญ่กว่าในมนุษย์ถึง 4 เท่า โดยขีดความสามารถในการรับกลิ่นนั้น จะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์
"จากความสามารถในการรับกลิ่นในสุนัข มนุษย์จึงนำความสามารถนี้มาใช้ประโยชน์มากมาย เช่น ใช้สุนัขในการค้นหาวัตถุระเบิด ยาเสพติด และคนหายอีกด้วย ดังนั้น การฝึกสุนัขให้ดมหากลิ่นโรคมะเร็งรังไข่ในผู้หญิง จากเลือดหรือน้ำปัสสาวะนั้น สุนัขสามารถดมและแยกกลิ่นเลือดได้ว่าเป็นกลิ่นอะไร"รศ.นสพ.ดร.นริศกล่าว
คนป่วยที่เป็นโรคมะเร็งรังไข่จะมีกลิ่นตามตัวเฉพาะ ซึ่งในทางการแพทย์กลิ่นของคนที่เป็นโรคมะเร็งรังไข่ออกมาทางน้ำปัสสาวะ หรือตรวจจากเลือดได้ด้วย
"วิธีการฝึกสุนัขนั้น เขาจะใช้วิธีการนำผู้ป่วยที่รู้ว่าเป็นโรคมะเร็งรังไข่มาทดลองให้สุนัขดมตามตัวว่า สุนัขจะสามารถแยกได้หรือไม่ว่าคนไหนป่วยเป็นโรคหรือคนไหนไม่ป่วยเป็นโรค ซึ่งในขณะนี้ยังไม่ทราบเป็นที่แน่ชัดว่ากลิ่นสารประกอบในมะเร็งรังไข่ที่มีกลิ่นขึ้นในร่างกายนั้นเป็นสารชนิดใด"
รศ.นสพ.ดร.นริศอธิบายว่า เทคนิคที่ใช้สอนสุนัข จะต้องให้สุนัขรู้ว่าคำสั่งนี้คืออะไร โดยจะให้ดมกลิ่นเดิมซ้ำๆ กัน และให้ไปหาของที่มีกลิ่นเหมือนกัน ถ้าสุนัขเขาได้เรียนรู้คำสั่งได้ถูกต้อง ซึ่งการให้สุนัขตรวจหาโรคมะเร็งรังไข่นั้น จะต้องไปหากลิ่นที่เป็นมาตรฐานของคนป่วยที่เป็นเนื้องอกหรือมะเร็งรังไข่ ซึ่งจะทำได้ยาก
"มนุษย์แต่ละคนจะมีกลิ่นตัวที่ไม่เหมือนกัน ส่วนระยะเวลาในการฝึกนั้น จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ของสุนัขและการฝึกของผู้ฝึก ซึ่งการฝึกจะต้องมีการกระทำซ้ำทุกวัน และการฝึกนั้นเป็นความสามารถเฉพาะตัวของสุนัข ซึ่งสุนัขจะต้องเข้าใจคำสั่งว่า จะต้องดมกลิ่นสิ่งของที่ผู้ฝึกต้องการให้ฝึกดมกลิ่นทุกวัน และจะต้องให้สุนัขหาสิ่งของที่ซ่อนนั้นอยู่ตรงไหน โดยการฝึกจะมีการลดความเข้มข้นของกลิ่นลงไปเรื่อยๆ จนกว่าสุนัขจะมีความสามารถและเชี่ยวชาญในการดมกลิ่น"รศ.นสพ.ดร.นริศกล่าว
สำหรับการได้กลิ่นของสุนัขนั้น เมื่อได้รับรู้แล้วน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง
โดยจะเริ่มต้นจากองค์ประกอบของกลิ่นต่างๆ คือ โมเลกุลของสารเคมี ที่ล่องลอยในอากาศ สุนัขจะได้กลิ่นโดยผ่านทางเนื้อเยื่อภายในจมูก โดยจะส่งข้อมูลของกลิ่นไปยังสมองส่วนหน้าที่มีเส้นประสาทในการดมกลิ่น กะโหลกและช่วงปากที่ยาวของสุนัขมีความยาวมากเท่าไหร่ จะทำให้การรับกลิ่นของสุนัขดียิ่งขึ้น
"สุนัขที่มีหน้าสั้นจะมีพื้นผิวและพื้นที่ในการรับกลิ่นน้อยกว่าสุนัขที่มีหน้ายาวซึ่งจะมีพื้นผิวและพื้นที่ในการรับกลิ่นที่มากกว่าและดีกว่า ดังนั้น เราจะไม่ค่อยได้เห็นสุนัขที่มีลักษณะใบหน้าสั้นมาดมกลิ่นหายาเสพติด เพราะกลิ่นมีระยะเวลาที่จำกัดในการได้กลิ่นของสุนัข เช่น กลิ่นฉุน เราจะได้กลิ่นในช่วงระยะแรก แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปกลิ่นก็จะหายไป เพราะว่ากลิ่นที่สุนัขได้รับนั้นจะทำให้พื้นที่การรับกลิ่นลดลง ดังนั้น การนำสุนัขที่มาใช้ในการดมกลิ่นนั้น จะเป็นสุนัขที่มีหน้ายาวซึ่งมีหน่วยรับกลิ่นที่เยอะกว่านั่นเอง"รศ.นสพ.ดร.นริศอธิบาย
สุนัขเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ และยังช่วยเหลือมนุษย์หลายอย่าง
การฝึกสุนัขดมกลิ่นตรวจหามะเร็งรังไข่ หากประสบความสำเร็จ ถือเป็นความก้าวหน้าของวงการแพทย์อีกทางหนึ่ง
ซึ่งเมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งแต่เนิ่นๆ ก็สามารถที่จะรักษาได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 20 สิงหาคม 2556
- 780 views