นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์มาตรการควบคุมป้องกันโรคไข้เลือดออก ว่า ในวันที่ 10-17 กรกฎาคม สธ.จะจัดรณรงค์ป้องกันโรคไข้เลือดออกครั้งใหญ่พร้อมกันทั่วประเทศ โดยจะใช้พลังอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม.กว่า 1 ล้านคน เป็นแกนนำในการกำจัดยุงและลูกน้ำในบ้านทุกหลังคาเรือน โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก วัดและศาสนสถาน ทุกพื้นที่ทั้งในเขตเมืองและชนบท และให้ความรู้โรคไข้เลือดออก ทั้งอาการป่วย และการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน เนื่องจากผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรง จำเป็นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล มีเพียง 1 ใน 3 อีก 2 ใน 3 อาการจะไม่รุนแรง และจะหายได้เอง สามารถพักรักษาตัวที่บ้านได้เช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งในระยะที่ผ่านมา อสม.ได้ทำลายลูกน้ำยุงร่วมกับเจ้าหน้าที่ และประชาชนมาโดยตลอด แต่ในเดือนนี้เป็นช่วงฤดูกาลระบาดจะมีจำนวนผู้ป่วยมากที่สุด จึงต้องเพิ่มพลังในการกำจัดยุงพร้อมกันทุกพื้นที่ ตัดวงจรแพร่ระบาดให้เร็วที่สุดและมากที่สุด
นพ.ประดิษฐกล่าวว่า ขณะนี้ สธ.เพิ่มความเข้มงวดติดตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคไข้เลือดออก ซึ่งมีการประชุมทุกสัปดาห์เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด พบว่ายังต้องเร่งรัดให้ทุกจังหวัดเข้มข้น 3 มาตรการหลักได้แก่ 1.การขจัดยุงตัวเต็มวัยและลูกน้ำ เพื่อลดจำนวนยุงลายที่เป็นตัวการแพร่เชื้อไข้เลือดออก เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด 2.ให้ส่งหน่วยสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ ที่พบผู้ป่วยเพื่อควบคุมไม่ให้โรคแพร่ระบาด ไม่ให้มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มในพื้นที่เดิม และ 3.ให้โรงพยาบาลทุกแห่งจัดจุดตรวจคัดกรองผู้ป่วยไข้เลือดออกตามมาตรฐานของ สธ. แจกยาทากันยุง และให้ความรู้แก่ผู้ปกครองในการดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออกอย่างถูกต้องเพื่อลดการเสียชีวิต
"ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยไข้เลือดออกเพิ่ม 5,276 ราย เสียชีวิต 6 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน อายุ 10-24 ปี พบปัญหามากใน 173 อำเภอ มากที่สุดในแถบภาคเหนือ ส่วนจังหวัดที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 10 อันดับแรก ได้แก่ เชียงราย ศรีสะเกษ เพชรบูรณ์ ลำปาง นครพนม สงขลา นครราชสีมา เลย ชุมพร และตราด" รัฐมนตรี สธ.กล่าว
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ. กล่าวว่า โรคไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสไม่มียารักษาโดยเฉพาะ จะรักษาเพื่อประคับประคองอาการให้ร่างกายฟื้นตัว พ้นระยะอันตรายในช่วงสัปดาห์แรก ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยมีไข้สูงต่อเนื่อง 2 วัน กินยาหรือเช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลด ให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัย หากมีอาการรุนแรงแพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล หาก ไม่รุนแรงแพทย์อาจจะไม่ได้รับตัวนอนรักษาในโรงพยาบาล
"เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ประมาณร้อยละ 70 จะหายได้เอง โดยแพทย์จะให้คำแนะนำวิธีการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน และการสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรีบกลับมาพบแพทย์ทันทีได้แก่ ผู้ป่วยซึมลง อ่อนเพลียมาก ปวดท้อง กินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย อาเจียน หรือพบว่ามีเลือดออก เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน ประจำเดือนมากผิดปกติ หรือถ่ายเป็นสีดำ ซึ่งมักเกิดในวันที่ 3 หรือวันที่ 4 หากมีอาการใดอาการหนึ่งที่กล่าวมา ถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย ที่ผู้ป่วยจะเริ่มเข้าสู่ภาวะช็อก เนื่องจากมีเลือดออกในอวัยวะภายใน ซึ่งมักจะเกิดในระยะหลังไข้ลด หากไดัรับการรักษาช้าอาจเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ หากหลังไข้ลดแล้ว ผู้ป่วยมีอาการยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุย กินอาหารได้มากขึ้น แสดงว่าอาการดีขึ้นเริ่มฟื้นตัว และจะหายเป็นปกติ" ปลัด สธ.กล่าว
สำหรับการดูแลผู้ป่วยในระยะ 1-2 วันแรกที่มีไข้สูง ขอให้เช็ดตัวด้วยน้ำธรรมดา กินยาพาราเซตามอล ยาที่ห้ามกินเด็ดขาดคือแอสไพริน และไอโบรบรูเฟน เพราะจะกัดกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น โดยให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และห้ามกินน้ำหรือผลไม้ที่มีสีแดง เช่น น้ำแดง แตงโม เนื่องจากจะทำให้แยกอาการเลือดออกในกระเพาะและลำไส้ได้ยากขึ้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 8 กรกฎาคม 2556
- 135 views